สมาธิที่แท้จริง


สมาธิที่แท้จริง - ศิลปะแห่งการปล่อยให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่มันเป็น 

  การทำสมาธิที่แท้จริงไม่ใช่การเชี่ยวชาญในเทคนิค แต่เป็นการปล่อยวางการควบคุม 

การสอนนี้เน้นไปที่การพิจารณาสิ่งที่มีอยู่ก่อนความคิด 

  การตื่นรู้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสมาธิ 

เป็นการเรียนรู้ที่จะมองดูประสบการณ์ที่เราสัมผัสโดยตรง ด้วยความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา 

  ท้ายสุดมันป็นเรื่องของอิสรภาพ 

และสิ่งใดก็ตามที่ขัดขวางการบรรลุเป้าหมายนี้ล้วนเป็นอุปสรรค ไม่ว่ามันจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม 

  ในการทำสมาธินี้ เราจะเน้นที่การตั้งคำถามต่อตัวเอง 

เราจะเน้นที่การมองดูตัวเองในปัจจุบันขณะ 

และมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เราสัมผัสได้ด้วยความรู้สึก ไม่ใช่สิ่งที่เราคิด 

  เราจะถามเข้าไปที่ความเงียบภายในว่า – ฉันคือใคร ฉันคืออะไร 

  ขอให้เข้าใจตั้งแต่ต้นว่า คำถามนี้ไม่ได้ต้องการคำตอบโดยใช้ความคิด 

แต่เป็นการสัมผัสคำตอบด้วยความรู้สึก 

รู้สึกถึงความเงียบภายใน 

  ขั้นแรก เราจะเข้าสู่สภาวะสมาธิ สภาวะผ่อนคลาย สบาย 

และหันความสนใจทั้งหมดเข้ามาที่ตัวของเราเอง 

เข้ามาที่ความเงียบภายในซึ่งเรารู้สึกได้ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ โดยไม่พยายามเปลี่ยนแปลงมัน 

รู้สึกมันอย่างที่มันเป็น รู้สึกถึงภายในของเรา รู้สึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา 

ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่มันเป็น ผ่อนคลาย 

  สิ่งสำคัญที่สุดคือรู้วิธีที่จะถามคำถาม 

รู้วิธีที่จะนำคำถามเข้าไปในใจที่นิ่งเงียบ เข้าไปที่แก่นกลางของความเป็นเรา 

  ดังนั้นเมื่อเรามองดู และเราเฝ้าสังเกต และเราถามคำถาม 

เราไม่ได้มองหาคำตอบในทันทีทันใดจากความคิดของใจ 

  แต่คำถามนั้นมีหน้าที่สร้างจุดโฟกัสของธรรมชาติรู้ 

มันช่วยนำความสนใจของธรรมชาติรู้เข้าไปในทิศทางที่เรากำหนด 

เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องเข้าใจตรงนี้ มิฉะนั้นใจจะเริ่มค้นหาคำตอบจากประสบการณ์เดิม  

  การตั้งคำถามเป็นการเปิดใจ เป็นการเปิดช่องว่างภายในใจ เพื่อเราจะได้ผ่านเข้าไปในช่องว่างนั้น 

เข้าไปสู่ประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมากขึ้น 

  ดังนั้นเพื่อค้นหาว่าจริงๆแล้วเราคือใคร และเราคืออะไร เราจะเริ่มดูจากสิ่งที่ไม่ใช่เราก่อน 

เราจะเริ่มต้นโดยการดูสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นเรา สิ่งที่เราถูกสอนว่านั่นคือเรา

และเราเริ่มจากประสบการณ์พื้นฐานที่เห็นชัดมากที่สุด สิ่งแรกคือ ความคิด 

คนส่วนมากสร้างความเป็นตัวตนขึ้นมาด้วยความคิด 

เราคิดว่าเราคือสิ่งที่เราคิดว่าเป็นเรา ไม่ว่าสิ่งที่คิดนั้นจะดีหรือเลว มีคุณค่าหรือไร้ค่า คู่ควรหรือไม่คู่ควร 

เหล่านี้ล้วนเป็นความคิดของใจ

ดังนั้นอัตตาตัวตนของคนส่วนใหญ่ ความรู้สึกว่าเป็นเรา ล้วนถูกสร้างขึ้นโดยใจ 

  ความรู้สึกว่าเป็นเราที่ใจสร้างขึ้นนี้ ผมจะเรียกมันว่า ตัวตนปลอม 

มันเป็นความรู้สึกว่าเป็นเราที่ถูกสร้างขึ้นโดยการเคลื่อนตัวของความคิด และเหตุปัจจัย 

  ดังนั้นเมื่อเราเริ่มมองดูใจ ซึ่งไม่ใช่อะไรนอกจากความคิด 

เราเริ่มสังเกตเห็นว่ามีความคิดอยู่ที่นั่น

ความคิดเคลื่อนไหวอยู่ในใจ และมีการทึกทักว่าเราคือความคิดของเรา และความคิดของเราบอกเกี่ยวกับตัวเรา 

  แต่เมื่อเรามองดูมันอย่างจริงจัง เราจะเริ่มสังเกตเห็นว่ามีความคิด และมีธรรมชาติรู้ว่าความคิดกำลังเกิดขึ้น 

เรารู้ด้วยประสบการณ์จริงของเราว่า ธรรมชาติรู้นี้มีอยู่ก่อนที่ความคิดจะเกิดขึ้น 

  ธรรมชาติรู้อยู่ตรงนั้นเพื่อสังเกตการก่อตัวของความคิด 

ธรรมชาติรู้ยังคงอยู่ที่เดิมเมื่อความคิดดับลง 

และเราเห็นด้วยประสบการณ์ตรงของเรา ว่าแม้จะมีความคิดเกิดขึ้น มันมีธรรมชาติที่รับรู้ความคิดที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน 

ดังนั้นเราไม่มีทางที่จะเป็นความคิดของเราได้ ความคิดเกิดขึ้นและคงอยู่ภายในเรา 

ความคิดไม่ใช่สิ่งที่เราเป็น ความคิดไม่ใช่สิ่งที่บอกว่าเราคือใคร 

ความคิดไม่สามารถบอกได้ว่าเราคือใคร

สิ่งที่เราพิจารณาต่อมาคือ ความรู้สึก และผัสสะต่างๆ ของกาย 

การมีกาย เพื่อรับรู้ความรู้สึกและผัสสะ 

ดังนั้นมันจะมีความรู้สึกและผัสสะที่เด่นชัดเกิดขึ้นในกายของคุณขณะที่กำลังฟังผมพูด 

  ความสนใจของคุณอาจถูกดึงไปที่ความรู้สึกต่างๆ ผัสสะต่างๆ ในส่วนต่างๆของร่างกาย 

และเรามักถูกสอนว่าเราคือความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ 

  ดังนั้นเมื่อความโกรธเกิดขึ้น เราบอกตัวเองว่า ฉันโกรธ 

เหมือนกับว่า ฉัน และความโกรธคือสิ่งเดียวกัน 

ถ้าความสุขเกิดขึ้น เราพูดว่า ฉันมีความสุข 

เมื่อความรู้สึกร้อนหรือหนาวเกิดขึ้น เราพูดว่า ฉันร้อน ฉันหนาว 

และเชื่อมโยงตัวเราเข้ากับความรู้สึกเหล่านี้ 

  แต่เช่นเดียวกับความคิด แม้ว่าเราจะสามารถรู้สึกสิ่งต่างๆมากมาย 

แต่มีสิ่งหนึ่งซึ่งมีอยู่ก่อนความรู้สึกเหล่านี้ สิ่งหนึ่งซึ่งใกล้ชิดเรามากกว่าความรู้สึก 

นั่นคือธรรมชาติที่รู้ความรู้สึก 

  และแม้ว่าความรู้สึกเกิดขึ้น มันมีธรรมชาติรู้ที่มีอยู่ก่อนความรู้สึก 

ความรู้สึกเกิดขึ้น แล้วดับไป แต่ธรรมชาติรู้ยังคงอยู่ 

และแม้ว่าความรู้สึกที่เกืดขึ้นจะชัดเจนเพียงใดก็ตาม เราไม่ใช่ความรู้สึก ความรู้สึกเกิดขึ้นภายในเรา


สิ่งต่อไปที่เราจะพิจารณาคือ ความเชื่อ 

เรามีความเชื่อมากมาย ความเชื่อว่าเราคือใคร ความเชื่อว่าคนอื่นคือใคร 

ความเชื่อเกี่ยวกับโลก ความเชื่อว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรเลว 

ความเชื่อว่าสิ่งต่างๆสามารถเป็นอะไร หรือควรเป็นอย่างไร 

  ความเชื่อมีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ความเชื่อนี้ล่องลอยอยู่ในใจเรา ในลักษณะของรูปแบบตายตัว 

เราถูกสอนให้เชื่อมโยงตัวเรากับความเชื่อต่างๆในใจ จนเราเริ่มที่จะรับเอาความเชื่อมาเป็นตัวตนของเรา 

  เราพูดว่า ฉันเป็นชาวพุทธ ฉันเป็นฝ่ายขวา ฉันเป็นฝ่ายซ้าย ฉันคิดว่าอย่างนี้ ฉันคิดว่าอย่างนั้น ฉันเชื่ออย่างนี้ ฉันเชื่ออย่างนั้น 

  ดังนั้น เราเริ่มสร้างตัวตนของเรา ผ่านสิ่งที่เราเชื่อ และสิ่งที่เราไม่เชื่อ 

แต่เมื่อเรามองดูตัวเองอย่างจริงจัง อย่างใกล้ชิด อย่างลึกซึ้ง ในปัจจุบันขณะ 

เราจะเห็นว่า ความเชื่อ คือสิ่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นภายในธรรมชาติรู้ 

  ความเชื่อเป็นเพียงสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นเพียงความคิด และความเชื่อไม่ใช่เรา ความเชื่อไม่ใช่สิ่งที่บอกตัวตนของเราหรือของคนอื่น  

  ดังนั้น เมือใจสร้างตัวตนขึ้นมาจากความเชื่อ 

ในความเป็นจริง ความเชื่อเป็นเพียงรูปแบบของเหตุปัจจัยที่ล่องลอยอยู่ในใจ 

และมีธรรมชาติรู้ที่มีอยู่ก่อนความเชื่อ มีสิ่งที่สังเกตเห็นความเชื่อ และสิ่งที่เห็นความเชื่อนี้ใกล้ชิดกับเรา เป็นเนื้อเดียวกันกับเรามากกว่าความเชื่อ 

  ดังนั้นเราจะเริ่มตระหนักได้ด้วยประสบการณ์ตรงของเรา ว่าเราไม่ใช่สิ่งที่เราเชื่อ 

ความเชื่อไม่ได้บ่งบอกว่าเราคือใคร ความเชื่อเป็นเพียงสิ่งที่ถูกรู้โดยธรรมชาติรู้


จากนั้นเรามองดูบุคลิกภาพที่เป็นตัวตนของเรา 

ทุกคน ไม่ว่าจะบรรลุธรรมแล้วหรือไม่ ล้วนมีบุคลิกเฉพาะตัว มีวิถีที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ธรรมชาติเดิมแท้แสดงตนออกมาผ่านบุคคลนั้น 

  บุคลิกภาพ เปรียบเสมือนหน้ากากที่เราใส่ 

เป็นที่น่าเศร้าใจที่มนุษย์ยึดเอาหน้ากากและโครงสร้างบุคลิกภาพ มาเป็นตัวตน 

  พวกเขาคิดว่าเขาคือบุคลิกภาพ และนี่นำไปสู่ความรู้สึกแบ่งแยก ความรู้สึกแยกตัวโดดเดี่ยว ในที่สุด  

แต่เมื่อเราเริ่มเห็นว่าบุคลิกภาพคือสิ่งที่เป็นของกายและใจ

บุคลิกภาพเป็นสิ่งถูกรู้โดยธรรมชาติรู้ภายใน 

  บุคคลอาจตระหนักถึงบุคลิกภาพของตน เราอาจพูดว่า ฉันตระหนักถึงบุคลิกภาพของฉัน 

ดังนั้นนี่หมายความว่าบุคลิกภาพคือสิ่งหนึ่งที่เรารู้ได้ และเป็นสิ่งที่ถูกรู้ โดยธรรมชาติรู้ ที่มีอยู่ก่อนแล้ว 

  ดังนั้น ในขณะที่บุคลิกภาพมีอยู่ ตัวตนมีอยู่ 

โดยการสืบค้นอย่างใกล้ชิด เราจะเริ่มเห็นและรู้สึกได้ว่า เราไม่ใช่บุคลิกภาพของเรา เราไม่ใช่ตัวตนของเรา เราคือสิ่งที่มองทะลุผ่านบุคลิกภาพ 

  ในสมัยกรีก มีละครเวทีซึ่งนักแสดงจะใส่หน้ากาก และแสดงไปตามบุคลิกของตัวละคร ตามหน้ากากที่ใส่อยู่ นี้เปรียบเหมือนสิ่งที่เราเรียกว่าบุคลิกภาพ 

และเราลืมว่าบุคลิกภาพเป็นเหมือนแค่หน้ากาก ที่เราผู้สวมใส่มองผ่านออกมา 

  และเราลืมธรรมชาติเดิมแท้ของเราที่เป็นตัวตนแท้จริง 

เราถูกบอกถูกสอนว่าบุคลิกภาพหรือหน้ากากของเรา คือสิ่งบ่งบอกว่าเราคือใคร ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าขบขันมาก 

  และแม้ว่าจะมีบุคลิกภาพอยู่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ โดยธรรมชาติรู้ ที่มีอยู่ก่อนบุคลิกภาพหรือตัวตน

ธรรมชาติรู้ตระหนักรู้ถึงบุคลิกภาพ และเราจะเริ่มเห็นว่าเราไม่ใช่บุคลิกภาพ แม้มันจะมีอยู่


ดังนั้น เรากำลังสืบค้นว่าเราคืออะไร โดยผ่านทางการมองดูสิ่งที่ไม่ใช่เรา 

โดยการพิจารณาสมมติฐานของเรา โดยการมองดูทุกอย่างที่เราเคยคิดว่าเป็นตัวตนของเรา 

และเห็นว่าในทุกสิ่งที่เราคิดว่าคือเรานั้น ยังมีสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งเหล่านั้น  

  มีธรรมชาติรู้ความคิด มีธรรมชาติรู้ความรู้สึก มีธรรมชาติรู้บุคลิกภาพ มีธรรมชาติรู้กาย รู้ใจ 

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกรู้ โดยธรรมชาติรู้ 

  สิ่งถูกรู้ทั้งหมดนี้ ล้วนไม่สามารถบอกอะไรได้เกี่ยวกับ ธรรมชาติรู้ 

และเมื่อเราเงียบอยู่กับความจดจ่อของสมาธิ เราหยั่งลึกลงไปภายในด้วยความรู้สึก แล้วถามตัวเองว่า ถ้าอย่างนั้น ฉันคืออะไรกันแน่ ฉันคืออะไรที่แก่นกลางแห่งความเป็นฉัน 

  และเมื่อเรามองเข้าไปภายใน เบื้องหลังสิ่งที่ถูกรู้ทั้งมวล สิ่งที่เราพบคือธรรมชาติรู้ 

  และเราพบสมมติฐานแรกหรือมายาแรกว่า ธรรมชาติรู้คือบางอย่างที่เป็นของเรา 

เรามักพูดว่า ฉันรู้ หรือฉันมีสติ และเราคิดว่านั่นคือสิ่งที่เป็นจริง 

เราคิดว่าธรรมชาติรู้ คือสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ 

  เราคิดเอาว่ามีอะไรบางอย่างที่มีตัวตน ที่เรียกว่า ฉัน ซึ่งเป็นเจ้าของธรรมชาติรู้หรือสติ 

ดังนั้นเราจึงนั่งสมาธิเพื่อพิจารณามายานี้ 

  มันมีตัวตนที่แปลกแยก ซึ่งเป็นเจ้าของธรรมชาติรู้หรือสติ จริงหรือไม่ 

มันมีตัวตนที่แยกตัวออกมาหรือไม่ 

  และเรามองเข้าไปภายใน เราพบสิ่งที่เป็นเจ้าของธรรมชาติรู้หรือเปล่า เราพบสิ่งที่เป็นเจ้าของสติหรือเปล่า สิ่งที่เรียกว่า ฉัน มีอยู่ตรงไหน 

  เราจะงุนงงว่าเราหาสิ่งนั้นไม่เจอ ไม่มี ฉัน อยู่ที่ไหนภายในกายและใจ 

สิ่งที่เรารู้สึกได้คือธรรมชาติรู้ หรือสติเท่านั้น 

ไม่มีใครที่ปรากฎตัวว่าเป็นเจ้าของสติ มีแต่ธรรมชาติรู้ที่ทำหน้าที่รู้

นี่คือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ มีแต่ธรรมชาติรู้ที่ทำหน้าที่รู้ มีแต่สติที่ทำหน้าที่ระลึกรู้ ไม่มีอะไรที่เป็นตัวตน และเป็น ฉัน  

  เมื่อเราเริ่มเห็นสิ่งนี้ เรากำลังสัมผัสกับสิ่งที่เป็นแก่นกลางของตัวเรา สิ่งที่บ่งบอกว่าเราคือใคร เราคืออะไร 

ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ใจรับไม่ได้ แต่มันก็ปรากฏต่อความรู้สึกของเราจริงๆ 

เมื่อเราปล่อยวางความเชื่อในการมีอยู่ของตัวตน และเริ่มตระหนักว่าเราคือธรรมชาติรู้ที่มีอยู่ตลอดเวลา เฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา รอคอยอยู่ตลอดเวลาให้เรามองเห็นแล้วกลับสู่บ้าน กลับไปสู่สิ่งที่เป็นเราอย่างแท้จริง พักอยู่ในที่พำนักของธรรมชาติเดิมแท้ที่อยู่ลึกเข้าไปภายใน 

ตระหนักว่าเราคือธรรมชาติรู้


 แล้วเราก็จะสามารถสำรวจธรรมชาติรู้นี้ 

ให้มองดูธรรมชาติรู้ที่ปรากฏแก่ความรู้สึก ที่นี่และเดี๋ยวนี้ 

ธรรมชาติรู้นี้มีอายุไหม มีเพศไหม เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือเป็นแค่ธรรมชาติรู้ มันมีขอบเขตไหม มันมีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดไหม 

  คำถามเหล่านี้ไม่สามารถตอบได้โดยใช้ใจคิด ให้แค่สัมผัสกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ภายในด้วยความรู้สึก แล้วเราจะรู้ว่าธรรมชาติเดิมแท้ของเราคืออะไร 

  เราได้รับการบอกสอนตลอดมา ว่าการตระหนักถึงธรรมชาติเดิมแท้นี้ยากมาก 

การตื่นรู้จากสิ่งที่เรียกว่า ฉัน หรือตัวตน เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ 

แต่อันที่จริงแล้ว เราเพียงแค่หันความสนใจไปให้ถูกที่ 

สัมผัสด้วยความรู้สึกถึงสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ 

  และตระหนักว่า เราคือความเงียบที่กำลังทำหน้าที่เฝ้ามองและรับรู้ 

เราคือธรรมชาติรู้ หรือทางศาสนาพุทธเรียกว่า วิญญาณ

 สิ่งนี้ไม่มีรูปร่าง ไม่มีรูปแบบ ไม่มีเพศ ไม่มีอายุ 

  วิญญาณคือธรรมชาติรู้ ธรรมชาติรู้คือวิญญาณ และมันคือตัวเราที่แท้จริง เป็นเช่นนี้เสมอมา

วิญญาณ หรือธรรมชาติรู้นี้ ได้สวมหน้ากากที่เรียกว่าคุณ และผม 

และเราได้สูญเสียความเป็นตัวเราที่แท้ หันไปยึดหน้ากากนี้ว่าเป็นตัวตนของเรา 

  แต่ด้วยการฝึกสมาธิแบบนี้ เราได้มีโอกาสตระหนักถึงธรรมชาติเดิมแท้ของเรา 

ได้ตื่นขึ้นจากความเข้าใจผิด จากมายา 

รู้ว่าบุคลิกภาพนี้ กายนี้ ใจนี้ เป็นเพียงแค่หน้ากาก ที่เป็นสิ่งแสดงออกของธรรมชาติเดิมแท้


ตอนนี้เราตระหนักรู้แล้วว่า วิญญาณนี้ ธรรมชาติรู้นี้ คือสิ่งที่เป็นเรา เป็นอยู่ในขณะนี้ และเป็นอย่างนี้เสมอมา  

  เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อได้มันมา เราไม่ได้สร้างมันขึ้นมา และเราไม่ได้รักษามันไว้ 

  มันคือสิ่งที่เราเป็น มันคือสิ่งที่คนรอบข้างของเราเป็น สิ่งที่เพื่อนเราเป็น สิ่งที่ศัตรูของเราเป็น สิ่งที่คนรักของเราเป็น  

  มันคือแกนกลางและหัวใจของทุกสิ่ง ดังนั้นมันไม่ใช่ของส่วนบุคคล มันไม่ได้เป็นของใคร  

  นี่คือวิญญาณหนึ่งเดียว ธรรมชาติรู้หนึ่งเดียว ที่ทำหน้าที่ผ่านทุกรูปแบบ ที่เป็นทุกรูปแบบ ที่ปรากฏเป็นทุกรูปแบบ  ในขณะที่ตัวมันเอง เป็นสิ่งไม่มีรูปแบบ ที่อยู่ในแก่นกลางของสรรพสิ่ง 

  การตระหนักรู้นี้ เป็นสิ่งที่เป็นมรดกตกทอดของเรา เป็นสิ่งที่เราเกิดมาเพื่อตระหนักรู้  

  ตระหนักรู้ภายในตัวเรา ภายในสิ่งอื่น และภายในทุกสรรพสิ่ง 

  มันเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ทุกคน ทุกแห่ง  เพียงแค่เราเต็มใจที่จะมองเข้าไปภายในด้วยตัวเอง เพื่อสืบค้น เพื่อถูกนำทางโดยประสบการณ์ตรง และเพื่อตื่นขึ้นจากมายาของใจ 

  เมื่อตื่นรู้ เราจะพบสภาวะธรรมชาติที่เราได้พัก สภาวะอิสระ สภาวะของสันติและเราได้เป็นสิ่งที่เราเป็นอยู่เช่นนี้เสมอมา

อัทยาชานติ

หมายเลขบันทึก: 633407เขียนเมื่อ 12 สิงหาคม 2017 23:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 สิงหาคม 2017 23:15 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท