คุณมะเดื่อมักพูดเสมอว่า " หากยังเดินไหว หูตายังดี ไม่มีเจ้าหนี้ตามกวนใจ
ก็ต้อง หากำไรให้ชีวิตไว้ก่อน " เหตุนี้ เมื่อมีวันหยุดยาว คุณมะเดื่อกับครอบครัว
จึงมักออกเดินทางไปต่างจังหวัดเสมอ
เหตุนี้ วันที่ ๒๘ - ๓๐ กรกฎาคม ๖๐ ครอบครัวของคุณมะเดื่อจึง
มุ่งหน้าสู่ เมืองกาญจนบุรี ด้วยความหวังตั้งใจว่า จะไป ๒ แห่งด้วยกัน
คือ " เมืองมัลลิกา " อันเป็นสถานที่ท่่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองกาญจน์
และ " บ้านเล็กในป่าใหญ่ " ของ ท่านอาจารย์โสภณ
แต่ เนื่องจากมีเจ้าตัวเล็กไปด้วย จึงแวะที่สะพานข้ามแม่น้ำแควก่อน
ตั้งใจว่าจะให้เจ้าตัวเล็กนั่งรถไปเล็กเล่นก่อน แต่ก็ต้องผิดหวัง
เพราะรถไฟสายสั้น ยกเลิกไปแล้ว (เลิกไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้)
จึงต้องเดินเที่ยวบนสะพานรถไฟแทน เจ้าตัวเล็กถามหารถไฟ
ก็ต้องบอกว่า รถไฟตกรางไปแล้ว ....! ก็ยังจะดูรถไฟที่ตกรางอีกแน่ะ !
จากนั้น จึงเดินทางต่อไปยัง " เมืองมัลลิกา" ตามที่ตั้งใจไว้
แต่ก็เจอกับฝนตกอย่างหนักต้อนรับก่อนถึงเมืองมัลลิกา
แต่พอไปถึง ฝนก็ซา เหลือเพียงฝนปรอย ๆ พอได้บรรยากาศ
จอดรถแล้ว จึงไปตีตั๋วเข้าเมือง แลกเงินเข้าไปใช้ในเมืองมัลลิกาด้วย
เป็นเงินสตางค์แดง ( สตางค์รู) อัตราแลกเปลี่ยนคือ ๑ สตางค์
เท่ากับ ๕ บาท แลกไป ๒๐๐ บาท แล้วจึงเดินเข้าประตูเมือง
โดยมี เจ้าหน้าที่ของสถานที่กางร่มกระดาษคันใหญ่มารับพวกเรา
( ขอบรรยายบรรยากาศในเมืองด้วยภาพนะจ๊ะ)
เมืองมัลลิกา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบ " ย้อนยุค" ไปราว ๆ ร.ศ. ๑๒๔
เป็นของบริษัทมัลลิกา เจ้าหน้าที่ทุกคนแต่งกายแบบไทยย้อนอดีต
ทั้งชายและหญิง ผู้หญิงจะพูดลงท้ายด้วย " เจ้าค่ะ" ส่วนผู้ชาย
จะพูดลงท้ายว่า " ขอรับ " ทั้งอาคารร้านค้าก็ก็เป็นแบบย้อนยุค
ทั้งสิ้น และยังมี " ชุดไทย" ให้สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจ
จะแต่งกายย้อยยุคให้เช่าเปลี่ยนด้วยนะ แต่ใครไม่เปลี่ยนก็ได้
วันนั้นฝนพรำ ๆ จึงเห็นสาวไทย หนุ่มไทยย้อนยุคกางร่มกระดาษ
เข้าบรรยากาศดีแท้
ภายในเมืองมัลลิกา แบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ เช่น ย่านการค้า บ้านเรือนไทย
ความเป็นอยู่และวิถึชีวิตแบบไทย เป็นต้น เดินชมไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกเหมือนว่า
ตัวเองนั่ง time machine กลับไปในอดีตสักร้อยกว่าปีทีเดียว
คุณมะเดื่อนชอบโซนวิถึชีวิตไทย ๆ มาก ๆ ลองมาดูภาพนะจ๊ะ
เดินชมเมืองมัลลิการ่วมชั่วโมง ก็ยังไม่ทั่ว แต่คุณมะเดื่อและครอบครัว
ก็ออกจากเมืองมัลลิกา แล้วมุ่งหน้าสู่ " บ้านเล็กในป่าใหญ่" ทันที
หลังจากที่วนไปเวียนมาเพราะหาทางไปไม่ถูก ด้วยคุณ GPS เธอบอกทาง
ซะงงไปหมด ก็จับเส้นทางถูก มุ่งตรงสู่เส้นทางเขาชนไก่ ไม่นานก็
เข้าสู่ " บ้านเล็กในป่าใหญ่" ของท่านอาจารย์โสภณได้ถูกต้องจ้าา
เจ้าของบ้านรอต้อนรับอยู่แล้ว ท่านอาจารย์พาชมรอบ ๆ บ้านที่กำลังก่อสร้างใกล้จะ
เสร็จแล้ว บอกว่า ต่อไปจะเป็นแหล่งขายของ ให้แม่ค้ามาตั้งร้านค้าในบริเวณ
ส่วนหน้าบ้านด้วย คุณมะเดื่อจึงบอกว่า " แบบนี้ต้องตั้งชื่อว่า...เมืองมะละกอ"
คู่แข่งของเมืองมัลลิกา นั่นเอง
วันนี้ คุณมะเดื่อเอาต้นผักไชยา กับต้นชูรส ไปฝากท่านอาจารย์ด้วย
อาจารย์บอกว่า เมื่อคืนมีช้างลงมาที่บ้านใกล้ ๆ นี้ด้วย โห...!
ใกล้ ๕ โมงเย็น จึงอำลาอาจารย์ตั้งใจจะเดินทางไปยังน้ำตกเอราวัณ
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านท่านอาจารย์นัก อาจารย์บอกให้พักค้างที่บ้าน
ของท่าน แต่พวกเราขอเดินทางต่อไปยังน้ำตกเอาราวัณ จึงลากัน
ตรงนั้น และตั้งใจว่าวันหน้าจะแวะมาเยี่ยมท่านอีกครั้ง
ออกจาก " เมืองมะละกอ" มุ่งไปยังน้ำตกเอราวัณ แต่ก็ไปไม่ถึง
เพราะใกล้ค่ำเต็มที เกรงว่าไม่สะดวกหากไปน้ำตก พ่อบ้านจึง
หันรถกลับ คิดว่า คืนนี้จะไปพักแรมที่ เลาขวัญ
คุณมะเดื่อจึง โทร.ถึงท่าน ผอ.คนเก่ง ชยันต์ ท่านก็ไม่รับสาย
จึงมุ่งหน้าสู่กำแพงเพชร เพื่อไปพักที่นั่นในคืนนี้
เพื่อรุ่งเช้าจะไปบ้านน้องเพชร น้ำหนึ่ง โทร.หาน้องเพชร
น้องเพชรบอกว่า กำลังจะเดินทางไปเชียงใหม่เพื่อไปรับแม่
ดังนั้น พ่อบ้านจึงหันพวงมาลัยรถกลับไปยัง " อุทัยธานี"
จังหวัดที่คุณมะเดื่อยังไม่เคยไปเลย ทันที...เข้าสู่ตัวเมืองอุทัย
ราว ๆ ๔ ทุ่มเศษ.....คืนนี้จึงพักที่เมืองอุทัยธานี จ้าา
คุณมะเดี่ยว ไม่แต่งชุดไทยหรืออย่างไร ขอรับ
หวัดดีจ้ะคุณพิชัย
คุณมะเดื่อจ้าา ไม่ใช่มะเดี่ยว ๕๕๕
ไม่แต่งชุดไทยจ้ะ หุ่นไม่ให้ แม้ใจจะรักนะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจจ้ะ