การทำงานนั้น ความรู้ที่สั่งสมมาจากการเรียนเมื่อวัยเด็กช่วง ตั้งแต่เกิดถึง 23 -25 ปี เป็นการกำหนดแนวทางการประกอบอาชีพ เมื่อได้เข้าสู่ระบบการทำงานเพื่อความอยู่รอดของชีวิต
ทำเพื่อแลกกับอาหาร ที่พัก เสื้อผ้า สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อการอยู่รอด การเรียนรู้จากงานที่ทำ การทำงานที่เป็นกิจวัตร การสั่งสมความชำนาญ หรือเชี่ยวชายไว้เฉพาะตัวฉพาะตนเก็บอยู่ในหัว หรือความทรงจำ ทันที่ที่ร่างกายเกิดการผิดปกติ ความรู้ทั้งหลายอาจสูญสิ้นไป ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องมีการจัดเก็บออกมาในรูปที่ผู้อื่นสามารถรู้ได้ การถ่ายทอดความคิดที่บางคนคิดได้มากมาย ใฃช้ประโยชน์ได้ตามกาล เวลาของๆสิ่งนั้น ดูจากภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดออกมาหนังโบราณ หนังสมัยใหม่ หนังวิทยาศาสาตร์ที่กำลังกลายเป็นจริงมากมายหลายเรื่องบางครั้งต้องการพิสูจน์ บางครั้งก็ไม่ต้อง
แต่ทุกท่านควรจะรู้ว่าการทำงานนั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โลกทุกวันนี้เร็วมาก ท่านคิดไม่ทันก็ดูจากการเปลี่ยนโทรศัพท์ การล้าสมัยของคอมพิวเตอร์ซื้อมาได้ 3-7 วันตกรุ่นแล้ว นั่นแหละการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าเร็วมากๆ
เพื่อมิให้เป็นคนตกยุค ตกโลกแห่งคามรู้ "การเรียนรู้คู่การทำงาน" จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่ยังอยู่ในวัยทำงาน หรือแม้จะพ้นวัยแล้วก็ต้องเรียนรู้
รูปแบบของการเรียนรู้ที่ทุกท่านส่วนใหญ่ทำอยู่คือการชมโทรทัศน์ อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ อ่านหนังสือ สนทนากับเพื่อนรอบๆตัว นำข้อมูลที่เป็นdata มากลั่นเป็น Information แล้วก็เป็นการที่เรียกว่าดวงตาเห็นธรรม คือการเป็น Knowledge ที่สะสมเป็นความรู้ที่ฝังไว้ในสมองต่อไป
ดังนั้นท่านจะเป็นคนที่รักการเรียนรู้ตลอดชีวิตหรือไม่ แต่ขอแนะว่าท่าน ต้องเรียนรู้โดยธรรมชาติอยู่แล้วมาจัดระบบอีกนิดเท่านั้น ท่านก็จะกลายเป็นบุคคลผู้เป็นคนแห่งการเรียนรู้
ทันดร ธนะกูลบริภัณฑ์ 2 พ.ย.2548 14.25น.
ไม่มีความเห็น