๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ช่วงบ่าย
หลังอาหารเที่ยงแบบต้อนรับผู้ใหญ่ที่ศาลาจิ้งซือ เราได้เรียนรู้ทำความเข้าใจเชิงลึกของกระบวนการพัฒนาจิตใจ หรือพัฒนาตัวตนด้านในสำหรับนักศึกษาแพทย์ ๓ พิธีกรรม สำหรับฝึกวิชาจริยศาสตร์ คือ วิชาเขียนพู่กันจีน วิชาชงชา และวิชาจัดดอกไม้
พิธีชงชา
จัดในบริเวณศาลาจิ้งซือ ซึ่งอยู่ติดกับโรงพยาบาลนั่นเอง เป็นบริเวณเฉพาะกิจสำหรับพิธีชงชาโดยเฉพาะ หากจัดได้จะเป็นสถานที่ใกล้สวน เพื่อให้บรรยากาศเป็นธรรมชาติ สงบ และดูศักดิ์สิทธิ์ เปิดเพลงบรรเลงเบาๆ กระตุ้นให้จิตสงบ ด้านหลังโต๊ะชงชามีโคมไฟให้ความงามและเรียบง่าย ที่ผนังมีตัวอักษรจีน ๔ ตัว อ่านว่า จิ้ง ซือ ฉา เต้า ซึ่งในตัวอักษรจีนมีความหมายที่ลึกโดยระหว่างฟังผมใช้ไอโฟนจดไว้ดังนี้
“พิธีชงชามีหลายแบบ แบบที่ใช้ที่นี่เรียกชื่อว่า จิ้งซือฉาเต้า ตามตัวอักษรบนผนัง
จิ้งซือ จิ้ง = สีเขียว แก่งแย่ง อยู่กันด้วยความรักสามัคคี
ซือ = สงบ คิด
จิ้งซือ เปนชื่อท่านสมณาจารย์ออกบวช เตือนตนให้มี สติ สมาธิ ปัญญา
ฉา = ชา เปนส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
เต้า = วิถี มรรค เต๋า
ฉาเต้า = วิถีแห่งชา
วิธีชงชาแบบจิ้งซือฉาเต้า ต่างจากที่อื่น ตรง : สำนึกคุณ ให้เกียรติ ความรัก ปลูก 3 อย่างนี้ให้เกิดในจิต
เป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน การศึกษาทุกระดับของฉือจี้ต้องเรียนเป็นวิชาบังคับ”
ในห้องมีโต๊ะและเก้าอี้สำหรับผู้ชงชา มีเคาน์เตอร์ด้านข้างสำหรับวางถาดและเหยือกน้ำชา โต๊ะดื่มชาเตี้ยๆ นั่ง ๔ คนรอบบนเบาะ บนโต๊ะดื่มชามีแจกันดอกไม้ จอกน้ำชาและจานรอง และขนมบนจานเล็กๆ ๔ จน สำหรับแต่ละคน ผู้สูงอายุที่นั่งราบไม่ได้มีเก้าอี้เตี้ยๆ ให้นั่ง
วิทยากรเป็นผู้หญิงวัยกลางคน เป็นอาสาสมัครฉือจี้ อธิบายขั้นตอนชงชาที่ประณีตช้าๆ เป็นปฏิสัมพันธ์สามฝ่าย คือผู้ทำพิธีชง ผู้เสิร์พ และผู้ดื่ม ซึ่งในการตีความของผมจากคำอธิบายของพิธีกร แปลโดย ดร. กวิชช์ เป็นกุศโลบายเพื่อกระตุ้นจิตใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยฉือจี้กำหนดให้เป็นวิชาบังคับสำหรับนักเรียน ตั้งแต่อนุบาล ถึงมหาวิทยาลัย ซึ่งผมตีความว่า หากถือตามโรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา นี่คือส่วนหนึ่งของวิชาจิตศึกษา วิทยากรอธิบายว่า ต้องฝึกบ่อยในระดับที่จะทำให้ฝังเข้าไปเป็นนิสัยของการมีสติเตือนตนให้ คิดดี พูดดี และทำดี คิดสำนึกคุณ
เขาสอนวิธีจับถ้วยชาด้วยนิ้วชี้กับหัวแม่มือสองนิ้ว ประคองและรองด้วยสามนิ้วที่เหลือ ก่อนดื่มให้มองและดม พิจารณาความงามและคิดสำนึกคุณผู้ชง ผู้เสิร์พ ผู้ปลูก จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ดื่ม แต่เป็นการจิบ จิบไปพิจารณาไป ตั้งสติเตือนตนไป จิบ ๓ คั้งหมดถ้วย จิบครั้งแรกบอกตัวเองว่า จะคิดดี จิบครั้งที่สอง เตือนตนให้พูดดี จิบครั้งที่สาม เตือนตนให้ทำดี
เขาสอนวิธีจับจานขนมด้วยท่ามังกรคาบแก้ว จับซ่อมด้วยท่าหงส์จิกน้ำ และระหว่างกินขนมก็รำลึกถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับวัตถุดิบและการทำขนม จนมาให้ตนได้กิน ด้วย “สำนึกบุญคุณ”
พิธีจัดดอกไม้
จัดที่ห้องข้างๆ ห้องชงชา เป็นห้องแบบห้องเรียน มีไวท์บอร์ดและจออยู่ด้านหน้า ผู้เข้าฝึกนั่งโต๊ะละ ๒ คน ที่โต๊ะออกแบบให้มีถังใส่ดอกไม้ ใบไม้ ซึ่งวันนี้มีกุหลาบสีชมพูให้คนละดอก ใบหมากเหลืองคนละใบ และดอกไม่ทราบชื่อสีขาวๆ เล็กๆ คนละช่อ มีถาดใส่ของให้ใช้ร่วมกันโต๊ะละถาด มีหลอดปลาสติกใส่น้ำ กรรไกร ยางหนังสติ๊ก ริบบิ้น และกระดาษแก้วทบติดเป็นกรวย ๒ ชิ้น
ระหว่างนั่งฟังและฝึก ผมใช้ iPhone บันทึกย่อๆ ไว้ดังนี้
“เพื่อหลอมรวมตัวเรากับธรรมชาติ เอาวาทะธรรมของท่านธรรมาจารย์มาออกแบบพิธี
ระหว่างพิธี ให้มีจิตสำนึกคุณ ให้เกียรติ ความรักมหาเมตตา
พระ อจ. ซื่อบู้ พัฒนาหลักสูตร 1992 สอนมหาวิทยาลัย แล้วใช้ในทุกระดับการศึกษาตั้งแต่เด็กเล็ก เทอมละ 4 คาบ (2 คาบรู้จักดอกไม้ 2 คาบฝึกจัด) ประถม 6 คาบมัธยม 4 คาบมหาวิทยาลัย เทอมละ 2 คาบ (คาบละ 2 ชม.)
พระอาจารย์ซื่อบู้
เมื่อ 40 ปีก่อนไปประเทศไทยเพราะมีพระพุทธรูป คนไทยเอาดอกไม้มาต้อนรับ พอท่านธรรมาจารย์ตั้งมูลนิธิก็มาร่วม ตอนนั้นยังไม่ได้บวช
พระ อจ. ซื่อบู้ เคยไปเรียนที่ญี่ปุ่นได้วิชาจัดดอกไม้แบบ ikebana
การจัดดอกไม้ เพื่อให้เห็นความจริง ความดี ความงาม ทั้งๆ ที่ดอกไม้น้อยมาก”
เพราะเวลาน้อย ท่านจึงให้เราทดลองจัดดอกไม้ ๑ ดอก (ตัวเรา) ใบ ๑ ใบ (คนทั้งโลก) และช่อดอกไม้เล็กๆ (ดวงดาวบนท้องฟ้า แทนความรัก) ในระหว่างนั้นก็เพ่งพิศความงาม แผ่เมตตา ให้ความรักแก่คนทั้งโลก และแก่ธรรมชาติในสากลจักรวาล แล้วร่วมกันร้องเพลงแห่งความรัก
พิธีความเคารพและขอบคุณอาจารย์ใหญ่
อาจารย์ใหญ่คือผู้อุทิศศพของตนเองให้นักศึกษาแพทย์เรียนวิชากายวิภาคศาสตร์ เป็นการทำคุณประโยชน์แก่ผู้อื่นครั้งสุดท้ายในชีวิต โดยที่ทางโรงพยาบาลจะขอให้ผู้อุทิศศพเขียนพินัยกรรมบอกกล่าวแก่นักศึกษาแพทย์ผู้ใช้ร่างของตนในการศึกษาว่ามีความมุ่งหวังให้ผลของการอุทิศร่างของตนก่อประโยชน์อะไร แล้วทางคณะแพทยศาสตร์ก็จะเลือกนำคำคมมากล่าวซ้ำสร้างความสะเทือนใจต่อนักศึกษาแพทย์ ให้มุ่งเล่าเรียนเป็นแพทย์ที่ทำคุณประโยชน์แก่ผู้อื่น
เราได้ชมวีดิทัศน์พิธีศพของอาจารย์ใหญ่เมื่อนักศึกษาแพทย์เรียนจบในเวลา ๔ เดือนแล้ว เป็นพิธีที่แสดงความเคารพและขอบคุณของนักศึกษาแพทย์ และหลังเผาแล้ว จะมีพิธีเก็บกระดูกมาบรรจุในโถแก้วเก็บไว้ที่ห้องอนุสรณ์สถาน “ครูผู้ไร้เสียง” (The Silent Mentor) ที่ผนังด้านหน้ามีโปสเตอร์รูป ประวัติ และคำพินัยกรรมต่อนักศึกษา
เป็นวิธีการให้นักศึกษาได้สัมผัสกับเหตุการณ์สะเทือนใจ เพื่อสร้างสำนึกภายในจิตใจ ให้สำนึกคุณอาจารย์ใหญ่ และกระตุ้นปณิธานที่จะดำรงชีวิตทำประโยชน์แก่ผู้อื่นและแก่สังคม
ตอนจะออกจากโรงพยาบาล ผมเห็นเอกสาร After the DustSettles. A Documetary on Taipei Tzu Chi Hospital after Formosa Fun Coast Dust Explosion ที่นี่
วิจารณ์ พานิช
๑๗ ก.พ. ๖๐
ห้อง ๗๒๕ โรงแรม Chateau de Chine, ไทเป
ปรับปรุง ๒๑ ก.พ. ๖๐
1 อาคารพิพิธภัณฑ์จิ้งซือ
3 ห้องพิธีชงชา มีเพลงบรรเลงเบาๆ
4 ท่างทางของพิธีกรเนิบช้า งดงาม
5 ห้องเรียนจัดดอกไม้
10 เรื่องราวของครูผู้ไร้เสียงสองท่าน
ไม่มีความเห็น