ความชอบ (พึงพอใจ) ของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน ผมก็มีความชอบอย่างหนึ่งที่อาจจะเหมือนและไม่เหมือนใครก็ได้ สองสามวันนี้มีเรื่องที่มีพลังให้ผมอยากเข้ามาบันทึกเก็บไว้ใน G2K สองสามเรื่อง เช้านี้มีเรื่องหนึ่งที่ต้องรีบบันทึกเก็บไว้ก่อนอารมณ์ภายในจะเปลี่ยนไป พลังที่ทำให้ผมนบนอบให้คือเรื่อง ชีวิตเพื่องานของท่าน ศ.กิตตุคุณ ดร.ระวี ภาวิไล ซึ่งท่านได้ลาจากลูกหลานไปแล้ว ยังความเศร้าโศกเสียใจให้กับลูกหลานที่ยังผูกพันธ์ร่างกายสังขารและคุณความดีเชิงสัมพันธ์กับท่าน สำหรับผมไม่ใช่ลูกหลาน เป็นแต่เพียงได้ติดตามงานของท่านบางเล่มเท่านั้น ผมขอคารวะท่านสำหรับคุณความดีที่ฝากไว้กับโลก
เช้านี้ เข้าไปอ่านความเป็นไปของเฟสบุ๊คแนวสาระ พบว่า อาจารย์สมภาร พรมทา (ศาสตราจารย์ ดร.สมภาร พรมทา) ได้วาดภาพเหมือนของท่านอาจารย์ระวี ออกเสนอหน้าเฟสบุ๊ค เป็นภาพที่ผมรู้สึกได้ถึงอารมณ์บางอย่างเมื่อเทียบกับสื่อเฟสบุ๊คที่ผมเพิ่งแชร์เมื่อไม่นานมานี้เกี่ยวกับการจากไปของท่านอาจารย์ระวี ผมอ่านความเห็นใต้ภาพวาด บางท่านแสดงความรู้สึกได้ตรงกับความรู้สึกของผมคือ "ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและเมตตา" บางความเห็นทำให้ผมรับรู้ถึงการใช้ชีวิตของท่านอาจารย์ระวี อย่างความเห็นของคุณ Meesang Ora ที่ระบุว่า ท่านอาจารย์ระวี เคยมาเป็นวิทยากรบรรยายให้เป็นพิเศษในงานกลุ่มเรื่องจิตกับสังขาร ทั้งๆที่ท่านอายุมากแล้ว ต้องใช้ไม้เท้าแต่ยังเดินขึ้นตึกที่มหาจุฬาฯมาอย่างช้าๆ พูดเบาๆ ยังนึกขอบคุณเสมอที่ท่านสละเวลามาให้ความรู้นิสิตในวัยชราเช่นนั้น..." ผมรับรู้ได้ว่า ท่านอาจารย์ระวีคือผู้เปี่ยมด้วยเมตตาที่รับรู้ได้ ข้อความนั้นทำให้ความคิดว่า "ชราอย่างมีคุณค่า" ผุดขึ้น ผมเชื่อมโยงความคิดนี้กับการใช้ชีวิตแบบสันยาสีในความคิดแบบฮินดู ผมจำได้ว่า สมัยเรียนปริญญาตรีวิชาศาสนาเปรียบเทียบ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๕ ท่านอาจารย์นัด พูดประโยคหนึ่งว่า วัยสันยาสีคือวัย "แจกของส่องตะเกียง" ท่านอาจารย์นัดไม่ได้อธิบายประโยคนั้น แต่ในความคิดผมคือ เป็นวัยที่มอบความรู้ให้โลกอย่างสละวาง เพราะ "แจกของ" หมายถึง การมอบให้แบบไม่ต้องการสิ่งใดกลับคืน "ส่องตะเกียง" หมายถึง การมอบปัญญาคือแสงสว่างให้แก่โลก (ผู้คน) ได้เดินทางต่อไป
ขอแสดงความขอบคุณชีวิตท่านอาจารย์ระวี (ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ระวี ภาวิไล) ที่ให้ผมรับรู้โลก "ความดีเพื่อสังคม" ของท่าน
ไม่มีความเห็น