มือไม่ถึง จึงต้องเปลี่ยน (หรือเสี่ยง)


เดือนธันวาคมของปีคือเวลาของการทบทวนการทำงาน และปรับให้ดีขึ้นในปีต่อไป


ภายหลังการตกผลึกความคิด ที่มีต้นสายปลายเหตุมาจากความคิดเห็นและการได้รับรู้ทัศนคติของผู้เกี่ยวข้อง ทั้งจากผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน และทีมงาน ขอบคุณที่ทำให้ได้คิดทำเรื่องใหม่ๆ อีกครั้ง และอาจนับว่าจะเป็นแนวทางทำงานที่ดีในอีกบริบทหนึ่ง เช่นเดียวกับแนวความคิดในแวดวงการจัดการองค์ความรู้ ที่ว่า วันนี้อาจจะเป็นวิธีการที่ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว แต่วันข้างหน้าอาจจะไม่ใช่ อาจจะมีสิ่งที่ดีกว่า ถูกต้องยิ่งกว่า หรือค้นพบว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในอดีตคือหนทางที่สุดแล้วที่ต้องนำกลับมาทบทวนรื้อฟื้นขึ้นใหม่

ขอบคุณชายคนหนึ่งที่เป็นคนบอกหนทางการหันกลับมามองตัวตนที่แท้จริงของเราอีกครั้ง หากวันนั้นไม่ได้บังเอิญมาได้ยินคำเอ่ยสนทนาที่แสนจริงจัง

"น้อง...เป็นยังไง? หัวหน้าคนใหม่ ดีไหม? สู้หัวหน้าคนก่อนได้ไหม หัวหน้าคนก่อนกับหัวหน้าคนแรก น้องมาทันมั้ย หัวหน้าคนก่อนๆ ใจดีนะ....พาทุกคนไปเที่ยวทะเลด้วย..."

การเปรียบเทียบเป็นเรื่องดี ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ การถูกเปรียบเทียบที่เห็นชัดเจนว่าจริงแล้วเราด้อยกว่าระดับไหน ถ้าคิดให้มากคิดให้นานกว่านี้ก็เหมือนคนมือไม่ถึง ที่คงทำอะไรมากมายไม่ได้นอกเสียจากการเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นจากที่ได้เป็น "เป้านิ่ง" ให้ถูกมองถูกตัดสิน และถ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็จะได้พิจารณากันต่อไป

จึงถึงเวลาวิเคราะห์ตัวเองอีกครั้ง

แม้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ผ่านไปแล้ว คนเราล้วนมีจุดดีและไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น จุดแย่ๆในตัวเราคือความเป็นคนอ่อนไหวอย่างแรง อันเป็นนิสัยแก้ไม่หาย แม้จะโกรธแล้วหายเร็ว แต่ความกังวลใจจะสูงมาก ด้วยเป็นปุถุชนธรรมดา การเก็บเอามาคิดโดยพยายามเติมพลังบวกเข้าไป เพื่อจะทำให้เรามองอย่างใจเป็นกลางบ้าง ก็พยายามคิดต่อไปว่าก็ดีนะที่ได้มายินเสียงสะท้อนจากบุคคลตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องในหน้าที่การทำงานกับเราอะไรมากนัก หรือมันอาจเชื่อมโยงไปได้มากกว่านั้น ซึ่งน่าศึกษาดูต่อๆไปว่า อะไรทำให้เขามีทัศนคติต่อเรา อะไรทำให้เขาคิดอะไรๆ ต่อเราเป็นเชิงลบบ้าง และเชิงบวกบ้าง สภาพแวดล้อมภายในที่ทำงานของเขามีผลกระทบต่อการทำให้เขาคิดไม่ดีต่อเราแบบนี้หรือไม่ คงต้องเก็บเป็นประเด็นไปคิด จะได้ระมัดระวังตัวมากขึ้น

เมื่อทบทวนแล้ว ทำต่อเนื่องกับการคิดกลับเข้ามายังพื้นที่ปลอดภัย เพื่อการมองหาจุดอ่อน จึงนึกได้ว่าในปีนี้ได้สร้างภาระงานเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย ได้ทำการประเมินตนเอง โดยตนเอง และโดยผู้ใต้บังคับบัญชา และประเมินงานโดยผู้ใช้บริการ เมื่อรวมกับผลการปฏิบัติงานที่ผู้บังคับบัญชาได้ประเมินไว้ มีหลายเรื่องที่ต้องคิดใหม่ พลิกระบบการบริหารจัดการใหม่ จึงถึงเวลาที่จะ ต้องเปลี่ยน ต้องเสี่ยง เพราะ "มือไม่ถึง" จริงๆ

กาลเวลาพิสูจน์ความไว้วางใจ

แม้ว่าจะศึกษาทฤษฎีพื้นฐานเอนเนียแกรมมาพอสมควรแล้ว ดรามาก็ยังบรรเจิด เราก็ยัง "ตกม้าตาย" กับลักษณะนิสัยของมนุษย์สายพันธุ์แรกเกิดกับสายพันธุ์ใหม่ มนุษย์ที่มีความเชื่อมั่นเป็นตัวเอง ยึดมั่นในประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม จึงต้องหันกลับมองตัวเราเอง เราพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงตัวเราแค่ไหน

ในระหว่างพูดคุยเพื่อปรับกลยุทธ์การทำงานกับผู้บังคับบัญชา มีหนึ่งประโยคที่ทำให้ฉุกคิด "ลูกทีมทำไม่เป็นหรือเปล่า" อาจต้องจับมานั่งสอนวิธีการทำ เครื่องมือต่างๆ ที่เราใช้งานอยู่ เพราะเขาไม่เคยถูกสอน ไม่เคยมีการอบรม ทำเป็นแต่งานประจำ "หุ่นยนต์" แว้บเข้ามาในหัวคิดทันทีอย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง ไม่ต้องคิดอื่นไกลไปจาก "หัวหน้าคนก่อน" นั่นแปลว่าตลอดเวลา 4 ปีกับ 2 เดือน เราเป็น "ผู้ไม่เอาไหน หรือไม่ถึงไหน" จริงอย่างที่คนนั้นกล่าวอ้างสินะ

บางเรื่องคิดเอง เออเองเสร็จสรรพ ถึงคิดได้เมื่อเกือบสายไป กลายว่าเป็นงานเผด็จการที่มุ่งหวังภาพรวมของงานออกมาดี โดยคาดหวังสูงว่าทุกคนจะได้ดีๆ สุดท้ายต้องกันหลังกลับเดินย้อนไปที่จุดเริ่ม เพื่อมองหาจุดยืนใหม่ที่จะบ่งบอกได้ว่า "เราจะไม่เดินหลงทางอีกต่อไป"

วิเคราะห์ปรีับปรุงการทำงานเสียใหม่...


วันนี้...จะขอกำหนดเป้าหมายภาระงานตัวเองใหม่ จะปักวางเป้าหมายตามหน้าที่ที่ได้รับอีกครั้ง แล้วจะละวางเพื่อให้ทุกคนได้คิดด้วยตนเอง ได้ฝันและวางแผนตามอัธยาศัย ส่วนกระบวนการจะเป็นอย่างไรนั้นต่อไป เป็นภารกิจที่จะฝึกให้ทุกคนเรียนรู้ เติบโต โดยยึดเป้าหมายที่กำหนดร่วมกันไว้แล้ว เชื่อมั่นว่าอาจเกิดมีนวัตกรรมการทำงานของแต่ละบุคคลขึ้นมาได้ คนเราทุกคนล้วนมีหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่ เราเองมีหน้าที่บริหารคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง และบริหารผลักดันให้งานเกิด งานพัฒนา เป้าประสงค์การทำงานกำหนดอย่างชัดเจน ผลงานจะเป็นเช่นไรก็เทียบเคียงกับความคาดหวังในผลการดำเนินงานแต่ละรายบุคคล

แม้หัวหน้างานคนปัจจุบันอาจจะไม่ดีมีความสามารถมากพอไปเทียบเคียงหัวหน้างานสองคนแรก เราก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดตราบเท่าที่ผู้บริหารให้ความไว้วางใจในการทำหน้าที่ตรงนี้ และตราบเท่าที่วาระการทำงานกำหนดไว้จะผ่านพ้น นับเวลาอีกไม่นาน ดังนั้นภาระหน้าที่การสร้างผู้นำคนใหม่ให้ก้าวมาทำหน้าที่นี่แทน คงเป็นเรื่องที่ท้าทายพอสมควร กลวิธีการคิดใหม่ทำใหม่ในครั้งนี้ "มือจะถึงหรือไม่ถึงคงเป็นเรื่องที่ต้องยอมรับ และเสี่ยงดูอีกครั้ง"

สรุปความเสี่ยงเปลี่ยน...ในปีใหม่ที่กำลังมาถึง

  • สรุปข้อมูลสำรวจความคิดเห็นและความพึงพอใจจากผู้ใช้บริการทั้งผู้บริหาร บุคลากร และนักศึกษา ในปีล่าสุด และย้อนหลัง 4 ปีที่รับหน้าที่บริหารหัวหน้างาน
  • เป้าหมายสำคัญการเสนอปรับเปลี่ยนโครงสร้างงานประชาสัมพันธ์เป็นงานสื่อสารองค์กรหรือศูนย์สื่อสารองค์กร ตามความเหมาะสมเป็นไปได้ (เป้าหมาย 2-4 ปี ก่อนพ้นวาระ)
  • ปรับรูปแบบการบริหารจัดการภายในงาน โดยการกระจายอำนาจการบริหารจัดการให้ผู้ใต้บังคับบัญชา เกิดความคล่องตัวอย่างเต็มที่ โดยยึดตามร่างโครงสร้างงานใหม่เพื่อสำรวจรวบรวมข้อมูลความเป็นไปได้ ในการเสนอขอพิจารณาอนุมัติโครงสร้างงานสื่อสารองค์กร
  • ศึกษารายละเอียดการเตรียมการสร้างผู้นำในอนาคตเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงภายในงาน การครบวาระบริหารหัวหน้างาน และการเติบโตเป็นงานสื่อสารองค์กร

คือ สัญญาใจ ไฟปรารถนา ในท้ายปี 2559

หมายเลขบันทึก: 619794เขียนเมื่อ 6 ธันวาคม 2016 16:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 ธันวาคม 2016 16:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท