"เวทนา ๓ และการกำหนดรู้เวทนา ๓ วิธี"
ขอนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมะรับอรุณ ณ บ้านเย็นยิ้ม
วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2559
- - - - - - - - - - - - - - - -
"เวทนา ๓"
เวทนา คือ การเสวยอารมณ์, ความรู้สึกรสของอารมณ์
๑. สุขเวทนา หมายถึง ความรู้สึกสุข สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๒. ทุกขเวทนา หมายถึง ความรู้สึกทุกข์ ไม่สบาย ทางกายก็ตาม ทางใจก็ตาม
๓. อทุกขมสุขเวทนา หมายถึง ความรู้สึกเฉยๆ จะสุขก็ไม่ใช่ ทุกข์ก็ไม่ใช่ เรียกอีกอย่างว่า อุเบกขาเวทนา
- - - - - - - - - - - - - - - -
"เวทนา ๓ ในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน"
ในมหาสติปัฏฐานสูตรบาลี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า :-
สุขํ วา เวทนํ เวทยมาโน สุขํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาติ.
ภิกษุกำหนดรู้เวทนาที่เป็นสุขอยู่ ในขณะที่ตนกำลังเสวยเวทนาที่เป็นสุข
ทุกฺขํ วา เวทนํ เวทยมาโน ทุกฺขํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาติ.
ภิกษุกำหนดรู้เวทนาที่เป็นทุกข์อยู่ ในขณะที่ตนกำลังเสวยเวทนาที่เป็นทุกข์
อทุกฺขม สุขํ เวทนํ เวทยมาโน อทุกฺขมสุขํ เวทนํ เวทยามีติ ปชานาติ.
ภิกษุกำหนดรู้เวทนาที่วางเฉยอยู่ ในขณะที่ตนกำลังเสวยเวทนาที่วางเฉย
- - - - - - - - - - - - - - - -
"เวทนา ๓ ในผัสสมูลกสูตร"
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนา ๓ นี้เกิดแต่ผัสสะ มีผัสสะเป็นมูล มีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา ๓ เป็นไฉน เวทนา ๓ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ดูกรภิกษุทั้งหลาย สุขเวทนาเกิดขึ้นเพราะ
อาศัยผัสสะอันเป็นปัจจัยแห่งสุขเวทนา ความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่ผัสสะนั้น ชื่อว่าสุขเวทนา เกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนานั้น ย่อมดับไป สงบไป เพราะผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนานั้นแลดับไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทุกขเวทนาย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา ความเสวยอารมณ์ อันเกิดแต่ผัสสะนั้น ชื่อว่าทุกขเวทนา เกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะ อันเป็นตั้งแห่งทุกขเวทนานั้น ย่อมดับไป สงบไป เพราะผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนานั้นแลดับไป อทุกขมสุขเวทนา ย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนา ความเสวยอารมณ์อันเกิดแก่ผัสสะนั้น ชื่อว่าอทุกขมสุขเวทนา เกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะอันเป็นที่ตั้ง แห่งอทุกขมสุขเวทนานั้นย่อมดับไป สงบไป เพราะผัสสะอันเป็นที่ตั้ง แห่งอทุกขมสุขเวทนานั้นแลดับไป ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะไม้สองอันเสียดสีกัน เพราะการเสียดสีกันจึงเกิดไออุ่น จึงเกิดไฟ เพราะแยกไม้สองอันนั้นแหละออกจากกัน ไออุ่นที่เกิดเพราะการเสียดสีนั้นย่อมดับไป สงบไป ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนา ๓ นี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เกิดแต่ผัสสะ มีผัสสะเป็นมูล มีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาอันเกิดแต่ผัสสะ เกิดขึ้นเพราะอาศัยผัสสะที่เกิด แต่ปัจจัยนั้นย่อมดับ เพราะผัสสะที่เกิดแต่ปัจจัยนั้นดับไป ฯ
- - - - - - - - - - - - - - - -
"เวทนาปรุงแต่งจิต"
เมื่อตากับรูปเป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนกายนั้นมาประจวบกัน ก็ย่อมจะเกิดความสุขบ้าง เกิดความทุกข์บ้าง เกิดความกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง เช่นว่า เมื่อตาได้เห็นรูปที่พอใจ ก็ย่อมจะเกิดความสุขใจ เมื่อตาเห็นรูปที่ไม่พอใจ ก็ย่อมจะเกิดความทุกข์ใจ สุขทุกข์ดั่งนี้เป็นเวทนาที่บังเกิดขึ้นอยู่เป็นอันมาก ทุกคราวที่อายตนะภายใน (ตา) และอายตนะภายนอก (รูป) มาประจวบกัน ดั่งนี้ ก็หัดทำสติกำหนดว่านี่เป็นเวทนา ก็จะเป็น "เวทนานุปัสสนา" คราวนี้ก็ทำความรู้ว่าเมื่อเป็นดังนี้ จึงได้กล่าวว่ากายปรุงเวทนา ต่อจากนี้ก็หัดกำหนดดูจิต เพราะว่าเวทนานี้เองเป็นตัวปรุงจิต ทำให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ ซึ่งเป็นกิเลสหยาบ เป็นอกุศลมูล คือ รากเหง้าแห่งความชั่ว
สุขเวทนาก็ปรุงให้เกิดฉันทราคะ หรือ ความชอบ
ทุกขเวทนาก็ปรุงให้เกิดปฏิฆะ หรือ โทสะความชัง
เวทนาที่เป็นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็ปรุงให้เกิดโมหะ หรือ ความหลง
- - - - - - - - - - - - - - - -
"เวทนาก่อให้เกิดตัณหา"
เพราะเหตุว่าไม่รู้ตามความเป็นจริง ในตอนนี้จึงเป็นช่วงที่ขันธ์กับกิเลสต่อกัน คือลำพังกายดังที่ได้แสดงในวันนี้ คืออายตนะภายในภายนอกที่ประจวบกัน กับเวทนาเป็นเรื่องของขันธ์ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ อันรูปขันธ์กับเวทนาขันธ์นั้นเป็นวิบากขันธ์ ไม่เป็นตัวกุศล ไม่เป็นตัวอกุศลแต่อย่างไร ก็เป็นวิบากขันธ์ คราวนี้เมื่อมาเป็นเวทนาขึ้น เวทนานี้เอง ก็เป็นที่ต่อของกิเลส เพราะฉะนั้น ในปฏิจจสมุปบาทจึงได้มีแสดงว่า "เวทนา ปัจจยา ตัณหา" เพราะเวทนาเป็นปัจจัย เกิดตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก เมื่อแสดงโดยกิเลส ๓ กองก็ได้ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดราคะ หรือโทสะ หรือโมหะ ดังที่ได้กล่าวแล้ว
- - - - - - - - - - - - - - - -
"การกำหนดเวทนามีอยู่ ๓ วิธี"
จะวางใจอย่างไรในเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทุกขเวทนา? นักปฏิบัติต้องวางใจให้เป็นกลาง อย่าไปอยากให้หาย อย่าไปอยากเอาชนะ อย่าไปอยากรู้ว่ามันจะดับหรือไม่ดับอย่างไร ให้ทำหน้าที่เพียงแค่การเฝ้าดูอย่างมีสติเท่านั้น ดังนี้ :-
๑. การกำหนดแบบเผชิญหน้า คือ ตั้งใจกำหนดแบบไม่ท้อถอยตายเป็นตา โดยเอาจิตไปจดจ่อที่อาการปวด จี้ลงไปบริเวณที่กำลังปวดมากที่สุด วิธีนี้นักปฏิบัติจะค่อนข้างเหน็ดเหนื่อย เพราะต้องใช้พลังจิตอย่างทุ่มเทและจดจ่อมากที่สุด แต่ก็มีประโยชน์ในการรู้แจ้งทุกข์ลักษณะอย่างพิเศษ
๒. การกำหนดแบบลอบทำร้าย คือ ตั้งใจกำหนดแบบจู่โจมในตอนแรกๆ พอรู้สึกว่ากำลังความเพียรมีน้อย ก็ถอยออกมาเตรียมความพร้อมใหม่ เมื่อพร้อมแล้วก็เข้าไปกำหนดอีกครั้งหนึ่ง เช่น ขณะกำหนดปวดอยู่นั้นความปวดกลับทวีความรุนแรงมากขึ้นจนไม่สามารถทนไหว จึงหยุดกำหนดรู้อาการปวดแต่เปลี่ยนไปกำหนดรู้อาการพอง-ยุบ หรืออารมณ์อื่นๆ แทนแต่ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องเปลี่ยนอิริยาบถไปยืนหรือเดินในขณะนั้น
๓. การกำหนดแบบเฝ้าดูหรือสังเกตการณ์ คือ เมื่อรู้สึกว่าปวดหรือเจ็บมากก็มิได้ไปกำหนดตอกย้ำลงไปอีก เพียงแต่กำหนดรู้ดูด้วยสติปัญญาอยู่เฉยๆ เช่น กำหนดว่า ปวดหนอๆๆ เจ็บหนอๆๆ เมื่อยหนอๆๆ ชาหนอๆๆ หรือ รู้หนอๆๆ เป็นต้น ไม่เน้นหรือย้ำอุปมาเหมือนทหารที่เฝ้าดูข้าศึกอยู่บนที่สูงหรือหอสังเกตการณ์ ไม่ได้ทำการสู้รบกับข้าศึกแต่ประการใด เพียงแต่เฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของข้าศึกเท่านั้น
- - - - - - - - - - - - - - - -
สํ.สฬ. ๑๘/๓๘๙-๓๙๐/๒๔๘-๒๔๙.
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
วัดภัททันตะอาสภาราม : การตามกำหนดรู้เวทนา (เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
คัดลอกบางส่วนมาจาก "ธรรมเทศนาของสมเด็จพระญาณสังวร ฯ เรื่อง กาย เวทนา จิต ธรรม"
Cr. รูปภาพจาก "รักบ้านเกิด"
...
ธรรมะรักษา วิปัสสนาคุ้มครองค่ะ
อจ.พิณจ์ทอง แมนสุมิตร์ชัย (ฉัตรนะรัชต์)
ขอน้อมอุทิศถวายบุญกุศล เป็นพระราชกุศลแด่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ไม่มีความเห็น