เช้านี้ยังคงทำหน้าที่เหมือนเดิมเช่นทุกเช้า แต่ที่เพิ่มเติมมาในทุกวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ ก็คือ เช็คสถิตินักเรียน
สำหรับคาบแรกของวันนี้ เป็นวิชาวิทยาศาสตร์ ป.4 ซึ่งในวันนี้ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม เพื่อศึกษาเรื่องตัวกลาง จากนั้นก็ให้นักเรียนทำใบงานในช่วงเวลาที่เหลือ แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อนักเรียนชายหลายคน ไม่ยอมที่จะสนใจเรียนเลย แถมยังเอาของเล่นมาเล่นในห้องกันส่งเสียงดัง จากนั้นนางมารร้ายก็เข้ามาสิงร่าง เดินเข้าไปยึดของเล่น จากนั้นก็มีเด็กชายเจ้าของของเล่น มาทวงคืนของเล่นคืน แต่ถ้าเราให้ไปแล้วเราจะยืดมาทำไม เด็กชายจึงทำพฤติกรรมก้าวร้าว เหมือนจะต่อยฉันเลย ฉันจึงยืมชื่อของครูปรียานุชมาอ้าง ว่าให้ไปรับคืนที่ครูปรียานุชเอง จากนั้นเด็กชายก็เดินไปนั่งเก้าอี้ ฟุบโต๊ะแล้วร้องไห้ ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่าคงเรียกร้องความสนใจนั่นแหละ ฉันจึงพูดคุยเรื่องงานที่สั่งนักเรียนในคาบหน้าต่อ แต่แล้วก็ไม่เป็นผล เมื่อกลุ่มนักเรียนชายยังคงเสียงดัง ไม่ตั้งใจเรียนเช่นเคย จากนั้นด้วยความที่อดทน อดกลั้นมาตั้งแต่คาบแรกที่เจอ (ซึ่งก็พอจะทราบข่าวมาบ้างแล้ว ว่าชั้น ป.4 นี่แหละ สุด ๆ ในโรงเรียน) จนวันนี้ ถ้าปล่อยเป็นแบบนี้ต่อไปก็คงไม่ไหว จึงจัดการเทศนาไป แล้วก็ต้องมาจุกกับคำพูดของตัวเอง แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว และตอนนั้นฉันก็ทำอะไรไม่ถูก จึงเดินไปเก็บของแล้วเดินออกห้องไป...
ในความรู้สึกตอนนั้นอยากเดินร้องไห้กลับห้องมาก แต่ก็คงทำไม่ได้ เมื่อนักเรียนชั้น ป.1 เดินเข้ามาทักทาย “สวัสดี” มันยากนะที่ต้องยิ้ม มันยากนะที่ต้องทำเหมือนว่ามันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ต้องทำ และด้วยความที่ฉันต้องเก็บอาการไว้ มันทำให้ฉันรู้และเข้าใจเลยว่า อาชีพครูนี่แหละคืออาชีพนักแสดง...แสดงเข้าไปให้สมบทบาท
เมื่อมาถึงห้องวิชาการ ขณะที่เตรียมของจะไปสอนอีกคาบหนึ่ง ก็มีนักเรียนหญิงชั้น ป.4 กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาขอโทษ แต่ตอนนั้นรู้สึกเสียใจมากจึงไม่สนใจอะไร...จากนั้นก็รีบไปสอนภาษาอังกฤษ ป.2 ซึ่งตอนนี้แหละ ต้องปรับอารมณ์ให้เป็นปกติมากที่สุด แต่แล้วห้องประจำห้องนี้ก็ยังซนเหมือนเดิม ยังดีที่วันนี้ส่งงานกันได้ครบทุกคน ค่อยชื่นใจหน่อย
หลังจากสอนเสร็จก็เดินกลับห้องตามปกติ แต่สิ่งที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น มันกลับปรากฏอยู่ตรงหน้า นักเรียนชายชั้น ป.4 มายืนดักรออยู่แถว ๆ หน้าห้อง เมื่อฉันเดินเข้าไปในห้อง เด็ก ๆ ก็มายืนรอเก้ ๆ กัง ๆ แล้วตะโกนมาว่า “ครูครับผมขอโทษ” จากนั้นไม่นานกลุ่มเด็ก ๆ พวกนั้นก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมด้วยจดหมายฉบับหนึ่ง แล้วก็นั่งคุกเข่าร้องไห้กันเฉย ร้องไห้ทั้งครูและนักเรียน ซึ่งในตอนนั้นฉันเองพูดอะไรไปมากไม่ได้ เพราะจะร้องไห้ไปมากกว่านี้
เพราะครูไม่มีสิทธ์ที่จะโกรธ หรือเกลียดเด็กหรอก และที่พูดไป บ่นไป ว่าไป ก็เพราะว่ารักและห่วงนั่นแหละ ครูไม่หวังอะไรมากมายหรอก ขอแค่พวกเธอตั้งใจเรียนกับครูเท่านั้นพอ ครูก็ชื่นใจแล้ว แต่ว่าขอให้มันจริงอย่างที่สำนึก และเหมือนที่เขียนมาในจดหมายเถอะ...#จะคอยดู
หลังจากจบฉากดราม่า ก็เข้าสู่ฉากแอคชั่นบ้างแล้วหล่ะ เย็นนี้ยังคงเป็นงานที่ต้องใช้กำลัง นั่นก็คือ แบกเสา ยกเสา เพื่อขึ้นป้าย เตรียมงานฉลองอาคารใหม่ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้...ลุยเข้าไป
ไม่มีความเห็น