แอบปกปิดความรู้สึกจริงเพราะเกรงว่าเขาจะรู้ว่าเราเป็นโรคจิต


บ่ายสองโมงของเมื่อวาน ผมไปทำข้อสอบเพื่อตรวจสุขภาพจิต จำนวน ๕๐๐ ข้อ ใช้เวลาทำ ๓ ชั่วโมง ในข้อสอบให้ผมลงลายมือชื่อในช่อง "ผู้ป่วย" ผมทำท่าจะไม่ลงลายมือชื่อ เพราะผมไม่คิดว่า "ผมป่วย" แต่ก็ต้องลงลายมือชื่อ เมื่อทราบว่า ใครๆ เขาก็ลงลายมือชื่อในช่องนี้ การทำข้อสอบ อ่่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง สมองต้องทำงานหลายอย่างคือ (๑) ระวังว่าข้อความไหนเป็นข้อความหลอก เช่นข้อความในเชิงปฏิเสธ หากแต่เราอ่านแล้วเราลืมไปว่าเป็นข้อความปฏิเสธ หรือเป็นข้อความที่ดูกำกวม ข้อความเหล่านี้คนออกข้อสอบอาจไม่ได้หลอก หากแต่เราหลอกตัวเองคือ เราคิดอย่างหนึ่งแต่นัยของข้อความเป็นอีกอย่างหนึ่ง ทำให้ผมต้องลบคำตอบที่คิดว่าใช่แต่ไม่ใช่อยู่หลายครั้ง (๒) ปัญหาของสมองระหว่างความหมายของ x ที่หมายถึงผิด กับเครื่องหมายถูก ที่หมายถึงถูก แต่ในข้อสอบให้กา x ทั้งใช่และไม่ใช่ หรือ ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ขณะที่สมองสั่งว่า x คือผิด/ไม่ใช่/ไม่เห็นด้วย ดังนั้นต้องจำลองสัญลักษณ์แทนความหมายกันใหม่ด้วยสติสัมปชัญญะ คือการกา x แทนเครื่องหมายถูก ในช่องที่ "ใช่" และกา x แทนเครื่องหมายผิดในช่องที่ "ไม่ใช่" (๓) เข้าใจว่าข้อความจำนวนมากในข้อสอบเป็นการแปลมาจากภาษาฝรั่ง จึงต้องทำความเข้าใจในข้อความนั้นในการอ่านหลายรอบ และเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น จำเป็นต้องตัดข้อความบางข้อความออกจากบรรทัด ดังนั้น ข้อสอบที่ทำไปจึงเป็นข้อสอบที่ทำเพราะรู้บ้างไม่รู้บ้าง อย่างไรก็ตาม มีข้อสอบจำนวนหนึ่งที่ผมปกปิดความจริง เพราะเกรงว่า จะผิดปกติจากชาวบ้านเขา จริงอยู่เมื่อก่อนผมอาจจะคิดอย่างนั้น แต่ทุกวันนี้อาจจะไม่ใช่อย่างนั้น ผมยกตัวอย่าง การอยู่ท่ามกลางการสังสรร ปาตี้ สำหรับผมเป็นเรื่องที่ผมมองว่าไม่เห็นว่าจะมีสาระสำคัญอะไร เมื่อก่อนผมอาจสนุกกับสังคมแบบนั้น แต่ตอนนี้โดยมากผมเฉยๆและออกแนวเบื่อๆ เพราะผมจะเพลินกับบางอย่างโดยลืมโลกไปเลยเช่นในการเขียนงานที่ต้องใช้ความคิดมากๆ โดยทีงานดังกล่าวจะไม่แย้งกันเอง (เป็นความพยายาม) ถ้าทฤษฎีว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมถูกต้อง การที่เราชอบปลีกตัวออกจากสังคมจึงเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ดังนั้น ผมต้องรักษาความรู้สึกตัวเองให้อยู่ท่ามกลางสังคมได้อย่างมีความสุข นอกจากนั้น มีเรื่องอื่นๆอีก ที่ต่างจากบุคคลทั่วไปโดยรวม

อย่างไรก็ตาม แบบทดสอบนั้นน่าจะคือแบบทดสอบเพื่อดูอารมณ์กระมัง เพราะแท้จริง เข้าใจว่า ทุกคนเป็นโรคทางจิตกันหมด หมายถึง ถ้าจิตอยู่ปกติไม่ได้ ก็คือมีโรคให้จิตผิดปกติ จิตเดิมแท้พุทธบอกว่าประภัสสร โปร่งโล่ง เบา สะอาด นั่นคือจิตปกติ แต่เพราะถูกกิเลสครอบงำ จึงอยากได้ โกรธ เกลียด ฯลฯ นี้คือโรคทางจิต ซึ่งผมก็เป็นโรคพวกนี้เอง

หมายเลขบันทึก: 618202เขียนเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2016 09:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2016 09:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท