คนจากหน่วยงานที่รู้กันทั่วว่ามีเงิน ติดต่อขอมาสัมภาษณ์ผมด้วยเรื่องวิธีคิดในการทำงาน ย้ำว่าเรื่องวิธีคิด หรือกระบวนทัศน์ เป็นการสัมภาษณ์ถ่ายวีดิทัศน์สำหรับนำไปตัดต่อทำเป็นวีดิทัศน์ประกอบการประชุม เมื่อผมเข้าไปตรงที่เขาจัดสำหรับให้สัมภาษณ์ก็ตกใจ
เพราะเขาเตรียมไฟส่องและร่มให้แสงเอิกเกริกมาก รวมทั้งตั้งเก้าอี้สูงไร้พนักสำหรับให้ผมขึ้นไปนั่ง ผมตกใจในความเอิกเกริก และไม่ยอมขึ้นไปนั่งบน stool นั้น บอกว่าคนแก่ไม่สะดวกที่จะนั่งแบบนั้น และบอกว่า บรรยากาศที่จัดเหมาะสำหรับถ่ายหนังมากกว่าถ่ายการสัมภาษณ์เรื่องลึกๆ ที่ต้องการการนั่งคุยแบบผ่อนคลาย เพื่อให้ถ้อยคำดีๆ มันโผล่ออกมาเอง
เหตุการณ์นี้สะกิดใจผมมากใน ๒ ประเด็นที่สัมพันธ์กัน
ประเด็นแรกเป็นเรื่องการทำงานแบบระมัดระวังตัว ในฐานะหน่วยงานที่ได้ชื่อว่ามีเงินมาก เพราะจะเป็นที่เพ่งเล็ง ของคนหลายฝ่ายที่คิดต่างๆ กัน และของคนที่ยังไงก็อิจฉาริษยาไว้ก่อน
สมัยผมเป็นผู้อำนวยการ สกว. ผมระวังตัวแจ จะไปเมืองนอกก็ระมัดระวัง ไม่ให้คนว่าได้ ว่าอาศัยตำแหน่งหน้าที่ หาเรื่องไป ในเวลา ๘ ปีที่ผมดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ สกว. ผมไปต่างประเทศเพียง ๓ - ๔ ครั้งเท่านั้น และไปแล้วกลับมา ได้งานอีกมากมาย
หน่วยงานที่คนรู้ว่ามีเงิน จะมีคนเข้ามาพัวพัน และหาทางเอาเงินไปใช้ ทั้งที่เป็นเรื่องเป็นราว ได้ประโยชน์จริงจัง ต่อบ้านเมือง และที่เป็นเรื่องหาทางเอาเงินไปใช้แบบสุรุ่ยสุร่าย
ประเด็นที่สอง เป็นเรื่องสาระในชีวิตการทำงาน เจ้าหน้าที่ของบริษัทโปรดักชั่นห้าหกคนที่ไปถ่ายทำวีดิทัศน์คราวนั้น ประกอบกับการใช้เครื่องประกอบการให้แสง และกล้องถ่ายแบบเอิกเกริก สำหรับผมเป็นการแสดงความไร้สาระโดยสิ้นเชิง เพราะสาระจริงๆ เป็นเรื่องลึกๆ อยู่ในคนให้สัมภาษณ์ ซึ่งต้องการบรรยากาศคนละแบบ จึงจะโผล่ออกมาในคำพูด
ทั้งหมดนั้น เป็น reflection หรือ AAR เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ และค้างคาใจ ไม่ทราบว่าเป็นวิธีคิดที่ถูกต้องหรือไม่ หรือเป็นเรื่องของคนแก่พ้นยุคผิดสมัย เป็นเรื่องของคนที่ตระหนี่ประหยัดเกินไป
ผมบอกตัวเองว่า หากผมเป็นผู้ดูแลการจัดทำวีดิทัศน์คราวนั้น ผมจะจัดบรรยากาศคนละแบบโดยสิ้นเชิง และค่าใช้จ่ายจะน้อยกว่าหลายเท่าตัว เพราะผมจะเน้นสาระที่คำพูดของผู้ให้สัมภาษณ์ ไม่ใช่เน้นที่การถ่ายทำ
วิจารณ์ พานิช
๒ มิถุนายน ๒๕๕๙
ไม่มีความเห็น