แม่ชีอินดี้ 10 : กลับไปเยี่ยมวัด


หลังจากพ้นสภาพแม่ชี ทุกสุดสัปดาห์ฉันออกท่องเที่ยวเดินทาง มีภารกิจต้องทำ บางทีก็ทำโอทีเพื่อให้ได้มาซึ่งรายได้ ชม.ละ 60 บาท วันทำการฉันทำงานตลอดสัปดาห์ และกินหนักในมื้อเย็น


  • ตั้งใจจะกินน้อยๆ ในมื้อเย็นให้เหมือนตอนปฏิบัติธรรม นั้นงดไปเลย...แต่ทำไมทำไม่ได้นะ

ตลอดเดือนที่ผ่านมาไม่อยากบอกว่า...ฉันคิดถึงวัด คิดถึงพระ คิดถึงเณร คิดถึงบรรยากาศแห่งวัด ทุกขณะจิต

ยังจำความรู้สึกที่สงบเหล่านั้นได้ ฤาจะหลงและติดกับ...ถ้าเป็นจริง...ฉันคงสอบตกกับการปฏิบัติ ขอแค่มันเป็นความรู้สึกที่ยังใหม่หมาดๆ เลยยากที่จะจางหาย “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป”

ฉันต้องมีลมหายใจต่อไป...มันเป็นบทที่ฉันต้องปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้ง ครั้งแรกคือการทิ้งวิถีชีวิตที่เป็นอยู่เพื่อไปรับศีล 8 ส่วนครั้งนี้ต้องทิ้งวิถีแห่งความสงบมาสู่โลกที่ฉันทิ้งไป การกลับมาสู่โลกอีกครั้งมันยากมากกว่าการอยู่แบบปกติอย่างที่เคยเป็นมาก่อนนี้



  • ฉันเที่ยวและมีคิวเกือบทุกวันสุดสัปดาห์

20 วันหลังจากสลัดคราบแม่ชี ฉันกลับไปวัดอีกครั้งตอนหัวค่ำ เป็นการไปหลังเลิกงานเพราะจะไปเลยไปทำธุระที่บ้าน ฉันไปกราบหลวงตาบนศาลาที่กำลังก่อสร้าง พร้อมรายงานตัว รายงานความรู้สึกที่เกิดขึ้น...ฉันบอกว่าฉันคิดถึงวัด ส่วนทางโลกมีคนคิดแทนฉันว่าฉันน่าจะรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น ฉันน่าจะเป็นบุคคลที่อ่อนช้อยหรือใจเย็นมากขึ้นหลังจากลาศีล...ฉันบอกหลวงตาว่า...ฉันอาจจะโหดกว่าเดิมก็ได้ เพราะความถูกผิดมันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสังคมนี้ มิใช่ศีลหรืออดีตความเป็นแม่ชีจะให้อภัยและเมตตาจนโลกไม่มีแกน บูดเบี้ยวไปตามแรงแห่งขั้วอำนาจ จริงอยู่ที่คนเราไม่ควรไปตัดสินคนอื่น หากแต่ต้องบอกว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดโดยฐานะตำแหน่ง...บางครั้งมันก็จำเป็นที่ต้องทำ

ความรู้สึกจริงๆของฉันที่เกิดขึ้นคือ เสียดายเวลา 3 เดือนทำไมเร็วนะ...ฉันยังต้องการเวลาอีก และเสียดายที่ฉันไม่รวย...ที่จะไปปฏิบัติธรรมโดยไม่ต้องแคร์เงินเดือนราชการ…ฉันยังอยากปฏิบัติต่อ

ฉันนั่งอยู่กับเสียดายและสร้างทุกข์ให้ตัวเองประมาณ 1 สัปดาห์กับความเสียดายนั้น เริ่มเข้าใจที่ว่า เค้ามาบวชแล้วไม่ยอมสึกมันเป็นยังงัย แต่แล้ว...ก็ปล่อยทุกอย่างไป...มีอะไรให้ทำก็ทำไป ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็พยายามทำ...แต่พยายามจะไม่ทิ้งการทำสมาธิ การกินอาหารให้น้อยลง บัดนี้ เกือบจะ 2 เดือนแล้ว ฉันยังมีโอกาสได้ทำสมาธิก่อนนอน และในตอนตื่นนอนบ้าง แต่เรื่องอาหารการกิน กลับมาเป็นมนุษย์โลกที่มีความสุขกับเมนูอาหารและวงสนทนาบนพาข้าว

ฉันรักเพื่อน ฉันรักญาติพี่น้อง....แต่ผิดไหมที่ฉันเบื่อวงสนทนา...ดูเหมือนฉันเห็นแก่ตัว ที่ต้องการเขตสงบ หากมีปัญหาค่อยๆ ช่วยกันแก้ไป แต่แค่คุยกัน...ทิ้งฉันไว้ในโลกที่โดดเดี่ยวก็ได้...ฉันรู้สึกว่ามันสงบเงียบ...คงไม่ดูว่าฉันเห็นแก่ตัวเกินไป

แม้พระจะส่งสารมาบอกว่า ที่วัดมีงานใหญ่ มีพิธีสำคัญ เช่น วันวิสาขบูชา เชื่อไหมคะ ฉันเลี่ยงงานใหญ่ๆเหล่านั้น ฉันชอบความเรียบง่ายมันดีต่อการทำให้จิตใจสงบ งานพิธีก็บ้างเป็นบางครั้ง แต่พิธีใหญ่คงดีมากสำหรับความทรงจำ อารมณ์ร่วม หรือเป็นของเล่น เช่น การถ่ายรูป การนั่งฟังเทศน์มหาชาติ ที่ฉันไม่รู้สึกถึงบุญ แต่ได้ความรู้สึกแห่งภาษาและท่วงทำนอง...หุหุ แม้แต่โปรโมชั่นปล่อยโคมลอย ที่หลายๆคนเห่อกัน...ก็ยังดึงดูดฉันไม่ได้...ฉันคิดว่ามันแค่ส่วนประกอบ...และอีกอย่างฉันเล่นของเล่นพวกนี้มานานแล้ว...เวลาเหล่านั้นจึงไม่ใช่เวลาที่ฉันจะกลับไปวัด

ความเบื่อ กะความต้องการความสงบนี่ มันสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญใช่หรือไม่

หลวงตาบอกฉันว่า…ค่อยๆปรับตัวและเรียนรู้ไป มีโอกาสที่สะดวกเมื่อไหร่ค่อยมาปฏิบัติ

ฉันก็บอกท่านว่า หากมีอะไรที่จะต้องเรียกใช้ ให้ท่านบอกได้ตลอดเวลา

บรรยากาศที่คิดถึงเสมอ

ถัดจากกลับเข้าวัดครั้งแรก อีก 7 วัน ฉันกลับไปใหม่ ได้ช่วยพระท่านพิมพ์หนังสือราชการ ทำความสะอาดศาลาบ้าง แล้วนั่งเฝ้าศาลา ฉันรู้สึกไม่คุ้น เหมือนคนไม่มีอะไรทำ ทั้งที่ตอนมาปฏิบัติฉันก็อยู่ได้...แต่ช่วงที่ปฏิบัตินั้นมีกุฏิ หลังจากที่เสร็จกิจธุระ ฉันก็เข้ากุฏิ ได้เอนหลัง ได้มีเวลาปฏิบัติ สวดมนต์ แต่ที่มาใหม่ครั้งนี้ฉันคืนสภาพเป็น “ผู้มาวัด” ไม่ใช่ “ผู้อยู่วัด” เช่นเมื่อ 3 เดือนก่อน งานนี้ฉันตั้งเงื่อนไขเอง...คุณยายคนหนึ่งอยู่ศาลาได้ทั้งวัน สวดมนต์อยู่ตรงนั้น และพูดคุยกับแขกที่เข้าออกศาลาได้ทั้งวันเช่นกัน...ทำไมฉันทำอย่างคุณยายไม่ได้...ฉันค้นหาคำตอบ แล้วก็ค้นพบ...เพราะกระบวนทัศน์ฉันคิดว่า คนปกติโดยเฉพาะสีกา ไม่ควรมาอยู่วัด หากไม่มีหน้าที่อันสมควร แต่แม่ชีอยู่วัดได้....หุหุ ก็วัดเป็นบ้านของแม่ชีนี่นา

คนวัดทักฉันว่า...ดูสวยขึ้น มันก็คงใช่...ทั้งการแต่งหน้าและแต่งกาย...การปรุงแต่งทำได้เต็มที่และลดควมบกพร่องของมนุษย์ให้สมบูรณ์ขึ้น ไม่เหมือนแม่ชีที่มีศีลเป็นตัวกำหนด...คนจะงามจะงามมาจากภายในเลยทีเดียว

มิน่า...เค้าถึงต้องให้สีกาถือศีลมายุวัด....ไม่ถือศีลก็อาจจะป่วนวัดได้ นี่ขนาดคนวัดทัก...แล้วอิป้าไม่ใช่คนสวย...ถ้าเจอสาวสวย วัยงาม...ปรุงแต่งเข้าไปอีก...พระสงฆ์ก็คงจะอยู่ยากกว่าปกติ...

มนุษย์โลกไปอยู่รวมกับพระเยอะๆ เป็นสิ่งยากที่พระจะมีเวลาพัฒนาฝึกจิตฝึกตน...ท่านที่เข้มแข็งแล้วก็แล้วไป...แต่ท่านใดที่ยังไม่เข้มแข็งนี่สิ

พระ เณร ส่งสารมาเรื่อยๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือ ในกิจการงานวัด หรือในเพจวัด โดยเฉพาะวันศุกร์จะมีข้อความประมาณว่า อาทิตย์นี้จะมาวัดไหม อือมห์.....ที่ผ่านมาทุกสุดสัปดาห์ฉันมีคิว....หากแต่ไม่มีคิวหล่ะ...ฉันจะไปวัดไหม…

หลวงตาเคยบอกมาเย็นวันศุกร์ รับศีล แล้ววันอาทิตย์ถึงกลับ....หลวงพี่รูปหนึ่งบอกว่า กลับเช้าวันอาทิตย์เลยโยมพี่...ทำวัตรเช้าแล้วค่อยลาศีลกลับ ทันเวลาทำงานอยู่....(จะเอาแบบนั้นเลยเหรอคะคุณพระ)


  • วันไปเที่ยวของฉัน...ฉันยังเพิ่มกิจกรรมตักบาตรเข้าไปในทริป...รู้สึกดีกว่าที่เคยเป็น

เมื่อฉันเริ่มคุ้นกับพระกับเจ้า จากที่กลัวๆ ก็เลิกกลัว (บัดนี้ฉันคิดว่าพระท่านจะกลัวฉันแทน)...หากเข้าวัดแล้วไม่ถือศีล 8 ฉันก็ไปในสถานะคนธรรมดาที่เป็นตัวของตัวเองมาก...จากความอินดี้ที่เป็นอยู่...ฉันก็กลัวฉันจะไปสร้างทัศนอุจาดแก่ผู้พบเห็น ฉันรู้สึกอยากไปนั่งเฝ้าหลวงเจ้...ให้ท่านกินสมองฉัน...ฉันชอบลีลาภาษาที่ท่านใช้ มันทำให้ฉันได้คลังศัพท์ ฉันอยากไปตะโกนหาพระมหารูปหนึ่งที่หารือฉันมาทางโซเซียลเรื่อง เห็บหมา...มันจะเหมาะไหมที่ฉันจะชวนท่านต้มยาสมุนไพรเพื่อป้องกันเห็บหมาระบาด อีกรูปพระตัวท๊อป...ที่ฉันนิมนต์ท่านให้พาไปวัดที่ท่านคุ้นเคย เพื่อไปถวายปัจจัยที่เพื่อนฝูงฝากมาถวายในการสร้างพระ...พอไม่ได้สวมชุดแม่ชี...แล้วไปกับพระกับเณร...ฉันก็รู้สึกแปลกในตัวเอง...เหมือนชวนพระชวนเณรหนีหลวงตาเที่ยวยังงัยยังงั้น 555

ที่ว่าแปลก...แม้แต่หลวงตายังออกปากทักว่า...ทำไมใส่ชุดแบบนี้...ฉันก็เอ๊ะ! แบบไหน...อ้อ มันเป็นชุดทำงาน ที่เลิกงานแล้วฉันก็แวะไปวัดเลย...สงสัยหลวงตาจะคุ้นตากับฉันที่นุ่งผ้าซิ่น....มันทำให้ฉันยังจัดการไม่ถูกกับสถานะและการแสดงออกในการกลับไปวัดอีกครั้งหนึ่ง เรื่องนี้ฉันอาจจะคิดมากไปเองก็ได้

สิ่งที่ฉันภูมิใจในตัวเองและเล่าบอกหลวงตา (ไม่ทราบว่าหลวงตาจะภูมิใจกับฉันไหม) คือ ผลึก...หรือคำพูดที่ฉันเล่าบอกคนทุกคนที่สนใจเรื่องวัด หรือมีปัญหาแล้วมาคุยกับฉัน ผลึกที่ฉันถ่ายทอดคือ ทุกสิ่งในชีวิต พ่อแม่ งาน ครอบครัว ตัวเรา และเพื่อน เป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิต จะตัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ในปัจจัยที่เป็นตัวเรานั้น...”ขอให้รักตนเอง”...แบ่งเวลาฝึกปฏิบัติสมาธิสักเล็กน้อย ก่อนนอน หรือ ก่อนตื่น หรือหลังจากจิบกาแฟบ้างสัก 10-30 แล้วแต่เวลาสะดวก...ไม่ต้องเยอะ แต่ขอให้ทำประจำ เพื่อให้จิตได้พัก และเกิดความเข้มแข็งต่อเนื่อง...ฉันเชื่อว่ามันเป็นจริง เพราะฉันได้ทดลองแล้ว...เมื่อจิตได้พัก สมรรถนะของจิตก็จะดีขึ้น พร้อมสำหรับทุกอย่าง

บุญที่หลายคนกล่าวถึงตอนฉันลามาปฏิบัติธรรม ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะได้รับ เพราะเป็นสิ่งนามธรรม แต่ฉันก็แน่ใจว่าตลอดเวลา 91 วัน ฉันได้ทำนุบำรุงศาสนาด้วยแรงกาย ปัจจัย และการเรียนรู้ ที่สามารถจะส่งต่อความเป็นพุทธศาสนาจากรุ่นฉันไปยังคนรุ่นหลัง และหากบุญนั้นสัมผัสได้...สิ่งที่ชัดเจนคือ การปฏิบัติสมาธิ (หุหุ....ตอนนี้ขอได้แค่อาทิตย์ละครั้งก็ดีแล้ว...ดีกว่าไม่ปฏิบัติเลย) มันเป็นเครื่องมือคลายความล้าได้ดีเช่นเดียวกับเครื่องดื่มชูกำลัง....ที่ไม่ต้องควักเงินซื้อสักบาทเดียว


  • นำปัจจัยญาติโยมไปถวายเป็นเจ้าภาพร่วมในการสร้างพระที่อยู่ใกล้ๆ วัดที่ฉันเคยมาปฏิบัติ

การกลับไปเยี่ยมวัดของฉันไม่ใช่แค่ฉันคนเดียว ยังได้รับโอกาสเป็นสายบุญนำศรัทธาญาติโยมไปถวายในการทำนุบำรุงศาสนาในหลายๆ โอกาส...ขออนุโมทนา

การกลับไปเยี่ยมวัด เหมือนไปเยี่ยมญาติที่ท่านบวชเป็นพระ ทั้งหลวงตา หลวงพี่ หลวงน้อง ลูกเณร...และญาติๆ ที่เป็นโยมที่คุ้นเคยกัน มีเรื่องราวดีๆ ระหว่างกัน กลับไปทำบุญให้ดูเหมือนสาวสวยรวยบุญ

แต่สิ่งที่ฉันทำได้ตลอดเวลาแม้ไม่ต้องไปเยี่ยมวัดคือ การฝึกจิต....ขยันหน่อยนะ


  • ตักบาตรหน้าบ้านบ้าง

ณ เวลาที่เขียนบันทึกฉบับนี้ เป็นเวลา60 วันผ่านมาจากโลกหลังกำแพงแก้ว...ฉันยังอยากบอกว่า ฉันยังติดวัด ฉันอยากไปวัดให้ได้เพื่อการปฏิบัติบ้าง มีการปฏิบัติรับใช้หรือติดตามพระสงฆ์บ้างเป็นบางเวลา และมีเวลาส่วนตัวบ้างเล็กน้อย...เอาไว้ถ้าได้ไปปฏิบัติใหม่ ฉันจะมีบันทึกฉบับใหม่ออกมาเพื่อถอดความรู้ที่ฉันได้รับนะคะ

การกลับไปวัดครั้งนี้ คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย มันอาจไม่ใช่แค่วัดแห่งนี้แห่งเดียว ในประเทศนี้มีวัดอีกตั้งหลายวัด วัดอยู่คู่กับพุทธศาสนามายาวนาน เป็นศูนย์กลางของชุมชน พุทธศาสนิกชนอย่างเราๆ โดยเฉพาะฉันที่มีโอกาสได้เรียนรู้ขนบและวิถีแล้ว จะเป็นกำลังสำคัญในการทำนุบำรุงศาสนา โดยบำรุงวัด สนับสนุนกิจกการงานของพระสงฆ์สืบไป

“เป็นพุทธศาสนิกชนที่มีศรัทธาบนพื้นฐานองค์ความรู้

อย่ารังเกียจศาสนาพุทธเพียงเพราะสิ่งที่รู้...แต่ไม่ได้รู้แก่นที่แท้จริง

การรู้แก่น...เป็นเรื่องที่ยาก แต่ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินจะเข้าใจ...ต้องใช้เวลา

พูดเอง...ยังทำไม่ได้...แต่ก็แบ่งบางส่วนหนึ่งของเวลามาเรียนรู้

ศาสนาพุทธเน้นหลักของความเป็นธรรมชาติ

มนุษย์เราก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ....รอไปเรียนรู้ศาสนาตอนแก่...กลัวว่ามันจะไม่ทัน

ไม่ทันได้เข้าใจ...ไม่ทันได้รู้ซึ้ง...และไม่ทันเอามาใช้...และไม่ทันส่งต่อคุณค่าที่มากกว่า”ความเชื่อ” ให้คนรุ่นต่อไป

ส่วนอิป้า...อดีตแม่ชีก็คงจะต้องลงทะเบียนเรียนเก็บหน่วยกิตไปเรื่อยๆ ทั้งเรียนในระบบและตามอัธยาศัย...ยังมีอะไรให้เรียนอีกเยอะ

หมายเลขบันทึก: 609507เขียนเมื่อ 1 กรกฎาคม 2016 13:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 ธันวาคม 2016 12:22 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท