ในการประชุม คณะกรรมการกำกับทิศ โครงการวิจัยพัฒนาเครื่องมือส่งเสริมและประเมินทักษะความคิดสร้างสรรค์ และความคิดวิเคราะห์ในชั้นเรียน ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ ที่ สสค. เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๙ ทีมนักวิจัยบอกว่า นักเรียนชั้น ม. ๒ ที่เข้าโครงการส่วนใหญ่มีพ่อแม่เรียนจบชั้น ม. ต้นหรือ ม. ปลาย แต่เด็กส่วนใหญ่ต้องการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย มีส่วนน้อยที่ต้องการเรียนสายอาชีพ แสดงว่า ความคาดหวังในชีวิตของเด็ก คือการได้เรียนสูง แต่ไม่มีความคิดว่า จะทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างไร
การเรียนมาก่อนอาชีพ ที่คือความคาดหวังของเด็กไทยในปัจจุบัน ซึ่งผมตีความว่า มองสั้นมากกว่ามองยาว
ที่จริงตอนผมเป็นเด็ก ผมไม่มีความคาดหวังในชีวิตเลย ไม่ว่าด้านการเรียนหรือด้านอาชีพ คือโลกทัศน์ของ ดช. วิจารณ์ อยู่แค่งานที่บ้านเท่านั้น ไม่เคยมีเรื่องไปเรียนต่อที่กรุงเทพอยู่ในหัวเลย และพ่อแม่ก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องการเรียนต่อที่กรุงเทพ
สมัยนั้น ที่ชุมพรมีโรงเรียนถึง ม. ๖ (ม. ๔ สมัยนี้) เท่านั้น ใครจะเรียนสูงกว่านั้นต้องเข้าไปเรียนที่กรุงเทพ
สมัยนี้โรงเรียนระดับ ม. ๖ มีทุกอำเภอ และมีมหาวิทยาลัยในทุกจังหวัด มีที่เรียนสำหรับนักศึกษาใหม่ปีละ ๑.๔ แสนคน แต่มีคนเข้าเรียนเพียง ๘ หมื่นคน มีที่เรียนว่างปีละ ๖ หมื่นที่ทั่วประเทศ มีผลให้มหาวิทยาลัยต่างๆ หาทางชักจูงให้เด็กเข้าเรียนเพื่อปริญญา ตามค่านิยมในสังคม โดยไม่ได้เอาใจใส่เรื่องจบแล้วมีงานทำหรือไม่ หรืออกไปประกอบอาชีพอิสระโดยตนเองได้หรือไม่ คือมีเพียงความคาดหวังให้ได้ปริญญา ไม่ได้สนใจเรื่องการเลี้ยงชีพ
จุดอ่อนนี้ กระตุ้นให้แรงขึ้นโดยกฎหมายเรื่องตำแหน่งต่างๆ ในราชการ ถือปริญญาเป็นหลัก ไม่ได้ดูที่ความสามารถหรือสมรรถนะ เวลานี้จึงมีคนที่เรียนจบปริญญาตรี แต่ไม่มีความรู้ความสามารถ หางานทำไม่ได้ ต้องใช้วุฒิ ม. ๖ ไปหางานทำ และมีคนที่จบปริญญาเอก เป็นด็อกเตอร์ แต่มีความสามารถจำกัดให้เห็นโดยทั่วไป
สภาพสังคม และสภาพระบบการศึกษา ในปัจจุบัน ทำให้เด็กเติบโตขึ้นมาแบบไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่รู้จักตัวเอง ไม่ได้พัฒนาตัวตน หรือ identity ของตน เป็นสภาพที่ต้องแก้ไขโดยด่วน โดยต้องระบุเป้าหมายของการศึกษาให้มีการพัฒนา Chickering's Seven Vectors of Development
วิจารณ์ พานิช
๒๐ เมษายน ๒๕๕๙
เนื่องในวันไหว้ครูปี 2559 นี้ ขออนุญาตรวบรวมและแนะนำบันทึกของอาจารย์เพื่อสร้างครูเพื่อศิษย์นะคะ https://www.gotoknow.org/posts/607630