สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารทั้งหลายมันไม่เที่ยง เกิดแล้วดับไป มีแล้วหายไป
สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขารทั้งหลายมันเป็นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ แก่ เจ็บ ตายไป
สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
บทสวดข้างต้นเป็นบทสวดจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยตรง เป็นความจริงที่สุดของสรรพสิ่ง การท่องบทสวดนี้ทำให้เราลดความกลัวตายลงได้ อันที่จริงพุทธศาสนาสอนให้เราเตรียมตัวตายอยู่เสมอเพราะชีวิตบนโลกนี้แสนสั้น และการตายไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นการเริ่มต้นเดินทางครั้งใหม่ เวลาผมดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาลผมมักจะพูดบทสวดข้างต้น เพื่อปลงสังขารร่างกาย และมักให้ญาติอยู่ข้างเตียงเพื่อร่วมพูดคุยเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ เมื่อผู้ป่วยปวดทรมาณจากโรคมะเร็งมากๆ นอกจากยาแก้ปวดมอร์ฟีนที่ต้องให้อย่างเพียงพอแล้ว ผมมักพูดว่า "ร่างกายนี้มีแต่ทรุดโทรมลงเรื่อยๆนะ อย่าไปหวังอะไรกับมันเลย ร่างกายนี้มีแต่ทุกข์นะ ร่างกายมันก็ไม่เที่ยงนะ เวลาปวดก็นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เอาไว้ ท่องสวดมนต์บทนี้เอาไว้นะ" ผมพบว่าการพูดเรื่องความตายตอนที่ผู้ป่วยปวดมากๆนั้นช่วยให้จิตของเขาเลิกยึดถือหรือคาดหวังจะเอาอะไรกับร่างกายของตนไปชั่วขณะ หรือแม้แต่ลดการคาดหวังให้หมอรักษาให้หายด้วย การพูดถึงความไม่ได้ดั่งใจนี้ไม่ได้ตอกย้ำให้เศร้ามากไปกว่าที่ผู้ป่วยเป็นอยู่แล้วเลย หากแต่ช่วยให้เขาและญาติตระหนักว่า หากมีสิ่งใดที่ยังไม่ได้ทำ ยังค้างคาใจอยู่ ก็อย่าประมาท ควรรึบจัดการเสียก่อน จริงๆแล้วสิ่งมีชีวิตทุกชนิดถูกธรรมชาติบังคับให้นีกว่ามีชีวิตเดียว ทุกชีวิตจึงรักชีวิต กลัวการไม่ได้มีชีวิตอีก โดยเฉพาะคนเราที่ฉลาดกว่าสัตว์ ที่เห็นและตีค่าว่าชีวิตตนมีคุณค่ามากเท่าไร ก็จะยิ่งหวงแหนชีวิตตนเท่านั้น ศาสนาพุทธสอนให้เราตระหนักว่าไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง
...เจ็บตายวิตกไย...........สติใช้ตระหนักถึง
เหตุธรรมดาพึง..............ลุสยบสิโศกศัลย์
...คิดซึ้งละซึ่งตน...........สติดลตระเตรียมพลัน
จดแจงจะแจ้งครัน..........ฤ จะพรั่นสะพรึงตาย
บันดาลใจจาก
พระไพศาล วิสาโล
แสดงธรรมที่ ห้องประชุมโบสถ์บ้านเซเวียร์
24/04/2559
ขอบพระคุณท่านยิ่งครับ
(ผมเป็นคริสต์ อาจใช้คำไม่เหมาะ ขออภัยด้วยครับ)