เมื่อดิฉันกลับมาทบทวนประสบการณ์การทำงานเป็น “ครูของครู” ที่ได้ทำหน้าที่เป็นโค้ชให้กับคุณครูในหน่วยวิชาภูมิปัญญาภาษาไทยชั้นประถมในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา และไตร่ตรองประเด็นที่ผู้ทรงคุณวุฒิได้ทำการสะท้อนเอาไว้นี้ ก็พบว่าดิฉันทำหน้าที่นี้โดยอาศัยความรู้ฝังลึกที่มีอยู่ในตัวเอง ซึ่งตรงกันกับบทบาทของ ผู้ชี้แนะ ที่ปรากฏอยู่ใน เอกสาร9 วิถีสร้างครูสู่ศิษย์ : เอกสารประมวลแนวคิดและแนวทางพัฒนาวิชาชีพครูสำหรับคณะทำงานในโครงการพัฒนาระบบกลไกและแนวทางการหนุนเสริมชุมชนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียน ที่มี อ.บังอร เสรีรัตน์ อ.ชาริณี ตรีวรัญญู และ อ.เรวณี ชัยเชาวรัตน์ เป็นบรรณาธิการ ผู้ให้ทุนสนับสนุนโครงการนี้คือ สสค.
บทที่ ๗ ของเอกสารฉบับนี้ ว่าด้วย การชี้แนะ (Coaching) ที่ Beach and Reinhartz (2000) ได้ประมวลรูปแบบการชี้แนะว่ามีอยู่ด้วยกัน ๓ รูปแบบ ดังนี้
การชี้แนะทางปัญญาจะประสบความสำเร็จเมื่อผู้ชี้แนะมีเวลาเพียงพอให้สมาชิกในกลุ่มได้ทำงานร่วมกันด้วยบรรยากาศที่อิสระในการพิจารณาประเด็นที่ไม่คุ้นเคย และทำการสังเกตซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่อยู่บนฐานของความไว้วางใจ การชี้แนะในรูปแบบนี้จะทำให้ครูมีความเป็นตัวของตัวเอง มั่นใจในตนเอง และมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสอน
ดูเหมือนว่ารูปแบบการชี้แนะที่ดิฉันปฏิบัติอย่างเป็นธรรมชาตินี้ จะมีลักษณะเป็นการผสมผสานของการชี้แนะทางปัญญา (cognitive coaching) ร่วมกับกับการชี้แนะสะท้อนคิด (reflective coaching) และวิธีการของการชี้แนะก็เป็นไปตามที่ Knight (2004) นำเสนอไว้ว่า ตัวของผู้ชี้แนะเองก็ต้องการเรียนรู้ และปรับตัวในการมีส่วนร่วมกับครู โดยใช้วิธีการหลัก คือ
ในส่วนที่ว่าด้วยการชี้แนะ Costa & Garmston (1994) นำเสนอว่าการชี้แนะสามารถเกิดขึ้นทั้งในลักษณะของการสนทนาที่ไม่เป็นทางการ ตามโอกาสและสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การพูดระหว่างเดินไปด้วยกัน หรือในการประชุมที่มีการกำหนดวันเวลาล่วงหน้า
ที่สำคัญคือ ผู้ชี้แนะต้องใช้ภาษาที่มีจุดมุ่งหมายในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของบุคคลอื่น ซึ่งเครื่องมือทางภาษาต่างๆ เหล่านี้ รวมถึงบรรยากาศของความไว้วางใจ การตั้งคำถามที่มีจุดมุ่งหมายในการเปลี่ยนแปลงทางความคิด การทำให้เห็นถึงสภาพที่พึงปรารถนา การไม่ตัดสินและต่อต้านแนวทางการแก้ปัญหาของผู้อื่น
ที่ดิฉันสนใจเป็นพิเศษก็คือคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องเครื่องมือที่ใช้ในการชี้แนะที่ Costa & Garmston (1994) กล่าวว่าได้แก่ เครื่องมือทางภาษา ทั้งวัจนภาษา และอวัจนภาษา โดยปราศจากการตัดสิน ที่ประกอบไปด้วยภาษาท่าทาง พฤติกรรมการตอบสนอง เช่น การรอคอยคำตอบ ที่ทำให้ผู้รับการชี้แนะรู้สึกว่าตนมีคุณค่า และรู้สึกได้ว่าได้รับความเคารพจากผู้ชี้แนะ หรือการยอมรับที่ปราศจากการตัดสิน ซึ่งสามารถแสดงออกมาเป็นการแสดงกริยาท่าทางต่างๆ เช่น การพยักหน้า หรือการบันทึกคำพูดของผู้รับการชี้แนะในบันทึก
เครื่องมือสุดท้ายคือการตั้งคำถาม ในการชี้แนะจะใช้การตั้งคำถามเพื่อวัตถุประสงค์ในการดึงหรือปรับความคิดและแง่คิดของอีกบุคคลหนึ่ง โดยคำถามที่ใช้ในการชี้แนะมี ๓ ลักษณะ ได้แก่
เมื่ออ่านเอกสารชุดนี้จบลง ดิฉันก็เห็นเส้นทางของการนำพาให้ครูน้องๆ ที่ทำหน้าที่เป็นครูแกนนำ ให้สามารถทำงานของตนได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และเชื่อว่าความรู้ชุดนี้จะช่วยให้พวกเขาเกิดความเข้าใจในประสบการณ์ของตัวเองได้มากขึ้น และสามารถนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาตนเองได้ดีขึ้น และเร็วขึ้นกว่าการเรียนรู้ผ่าน tacit Knowledge เพียงอย่างเดียว
ขอขอบคุณโครงการพัฒนาระบบกลไกและแนวทางการหนุนเสริมชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพเพื่อพัฒนาผู้เรียน และ อ.ชาริณี ตรีวรัญญู กัลยาณมิตรผู้มอบเอกสารชุดนี้ให้
ไม่มีความเห็น