สัญญา DNA แห่งจิต


ดังเสนอไว้แล้ว สัญญา (ความจำได้หมายรู้) มีความสำคัญมาก วันนี้เราเสนอแบ่งเป็นสองคือ rom กะ ram (เล่าไว้แล้ว) สัญญาสำคัญที่เป็น code of life จะถูกบันทึกไว้ใน rom เช่น การทำดี ทำชั่ว ทั้งที่เราไม่ต้งใจให้บันทึกก็ตาม ส่วนสัญญาตื้นๆ เช่นจำได้ว่าร้านก๋วยเตี๋ยวเปิดอร่อยมากอยู่ที่ก้นซอยใด แบบนี้เป็น ram ..พอเราตาย สัญญารอมนี่แหละที่จะพ่วงไปกะจิตที่ล่องลอยไป ทำให้ไปเกิดใหม่ในครรภ์ของคนดีคนชั่วโดยมีรหัสล็อคอิน ใช่ว่าวิญญาณชั่วจะไปเกิดในครรภ์ของคนดีได้

หมายเลขบันทึก: 604053เขียนเมื่อ 25 มีนาคม 2016 15:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 มีนาคม 2016 15:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

เอ..แล้วเป็น..เด เอน ฮา..แน่เชียว..

เคยลองเขียนประมาณนี้ไว้ค่ะ ไม่รู้ผิดถูกอย่างไรค่ะ

เปรียบเทียบคอมพิวเตอร์ กับ มนุษย์

มนุษย์หรือคน ประกอบด้วยส่วนหลักๆ สองส่วนคือ รูปธรรม นามธรรม หรือ ประกอบด้วยร่างกาย และ จิตใจนั่นเอง ร่างกายคือ สิ่งที่เราจับต้องได้ แขน ขา หัว ฯลฯ ซึ่งประกอบมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ นั่นเอง

จิตใจ คือ สิ่งที่เราจับต้องไม่ได้ สัมผัสได้ด้วยใจ เช่น ความคิด อารมณ์ (รัก โลภ โกรธ หลง ฯลฯ) ความรู้สึกนึกคิด การจำได้หมายรู้
เวลาจิตเราไปรับกับสิ่งภายนอก จากอายตนะ input (หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ) จิตมีหน้าที่ไปรับรู้และนำไปประมวลผล ได้สิ่งที่ออกมาคือ output เช่น ความโกรธ ความโลภ ความหลง

จิตของเรามันมีความสามารถมากและมีหน้าที่หลายอย่างคือ มีหน้าที่คิด มีหน้าที่รับรู้ มีหน้าที่เก็บข้อมูล มีหน้าที่ประมวลผล (ขอเรียกสั้นๆ ว่า “ตัวรู้”) ถ้าปราศจากจิต ร่างกายจะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ เช่น สมมุติว่า เรากำลังเล่นกีฬาชนิดหนึ่ง เช่น โยคะ เรากำลังจะยืดขาของเราไปเรื่อยๆ สังเกตไหมว่า ถึงจุดหนึ่ง จะมีผู้รู้บอกมาว่าพอแล้วนะ ถ้าเกินกว่านี้ร่างกายจะรับไม่ได้ กล้ามเนื้อขาจะฉีกขาดนะ ตัวผู้รู้
นั้นอยู่ที่ไหน? เค้ามาได้อย่างไร? ทำไมเค้ารู้ว่ามันถึงจุดอันตราย? ก็เค้าเป็นผู้รู้ไง เค้าถึงได้รู้ทุกอย่าง

ผู้คิด จิตมีหน้าที่คิด จะคิดตลอดทั้งวันทั้งคืน กลางคืนก็คือ “ความฝัน” กลางวัน เรียกว่า “ความคิด” มันจะคิดๆๆๆๆ ได้ตลอดทุกวินาที นั่นคือ กระบวนการทำงานของมัน แล้วมันมีประโยชน์อย่างไรหล่ะ? ยก ตัวอย่างเช่น เราตั้งของไว้บนเตาแล้วเดินไปที่อื่น ถ้าตัวที่เรียกว่า “ผู้คิด” ไม่ทำงานเราจะจำไม่ได้ว่าเราตั้งของไว้บนเตา คือ เจ้าความคิดมันก็คิดของมันไปเรื่อยๆ แล้วเจ้าจิตอีกตัวพอมันเห็นความคิดที่ว่าเมื่อกี้ตั้งของไวบนเตา สติก็จะเกิดขึ้น แล้วมันก็พาเจ้าร่างกายนี่ไปปิดแก๊ส เจ้า”ผู้คิด” นี่แหล่ะตัวดี มันจะคิดไปได้เรื่อยเปื่อย ทั้งเรื่องดีและไม่ดี มันจะไปวนเวียนกับเรื่องที่มากระทบแรงๆ ล่าสุดก่อน ถ้าในเรื่องไม่ดีก็เช่น วันนี้เราทะเลาะกับใครมา หรือเราไปเจอหน้าผู้ที่เคยบาดหมางกันมาก่อน มันก็จะคิดปรุงไปเรื่อย ไม่หยุดเลยจริงๆ หรืออีกแง่คือในแง่บวก เช่น คนกำลังมีความรัก จิตใจก็จะปรุงเฝ้าคิดไปเรื่องความรัก หน้าคนที่เรารัก หรืออย่างคนที่ชอบทำบุญ พอได้ทำบุญใจก็อิ่มเอิบคิดแต่เรื่องบุญได้ทั้งวันทั้งคืน นี่คือหน้าที่เจ้า “ผู้คิด”

“กรรม” กรรม คือ การกระทำ กรรมเก่าคือ การกระทำก่อนๆ ที่เคยทำมา แล้วมันถูกเก็บไว้ในส่วนหนึ่งของจิต ไม่ว่าจะกรรมดีกรรมชั่ว ส่วนกรรมใหม่คือ การกระทำปัจจุบัน เช่น คนที่ชอบทำบุญทำทาน จิต
ก็จะมีแต่ความเบิกบาน อย่างที่บอกก่อนหน้าเจ้าตัวคิด มันชอบย้ำคิดของมัน พอคิดมากๆ มันก็เอาไปเก็บไว้ในส่วนหนึ่งของจิต ซึ่งเราอาจเรียกว่าเป็น “อนุสัย” คือ นิสัยที่ทำประจำ, ในอีกแง่คือแง่ลบ คือ
คนที่ชอบทำแต่สิ่งที่ไม่ดี เช่น ชอบไปกินเหล้าพอกินเหล้าก็ขาดสติ พวกที่ใจหมกมุ่นอยู่ในกาม ใจหมกมุ่นอยู่ในความโกรธ อาฆาต พยาบาท สิ่งเหล่านี้พอทำซ้ำๆ เข้า เจ้าจิตที่มีหน้าที่บันทึก มันก็
จะบันทึกไว้ (มันเป็นนามธรรม คือ จับต้องไม่ได้ ไม่มีที่ตั้ง) แต่สิ่งเหล่านี้จะถูกบันทึกลงไว้ในจิต ถึงแม้จะไปเกิดในชาติใหม่สิ่งเหล่านี้ย่อมติดตามไป ที่เค้าเรียกว่า “กฎแห่งกรรม” นั่นเอง ถ้าจะนำมาเปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆ กับ คอมพิวเตอร์ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน จิตในชาติปัจจุบันอาจเปรียบเทียบได้กับเม็มโมรี่ส่วนที่เรียกว่า RAM (RAM คือ เม็มโมรี่ของคอมพิวเตอร์ ที่จะเก็บข้อมูลไว้ ในกรณีที่มีไฟเลี้ยงเท่านั้น ถ้าไฟดับความจำที่อยู่ในเม็มโมรี่ RAM นี้ก็จะหายไปทันที) เพราะฉะนั้นการที่เรารับสิ่งที่มากระทบกับกายใจของเรา คือ input เลข 0 และเลข 1 เท่านั้น (หรือจะเรียกว่า เกิด ดับ, 1=เกิด, 0=ดับ) แล้วจิตทำหน้าที่ประมวลผล (สังขารคือ ความความปรุงแต่งเริ่มทำงาน) คอมพิวเตอร์ก็จะให้ CPU ประมวลผลออกมา หลังจากประมวลผลแล้ว มันต้องมีที่ๆ เก็บการประมวลผล (จิตมีหน้าที่อีกอย่างคือ เก็บการประมวลผล) แต่เมื่อบางสิ่งบางอย่าง เราชอบทำบ่อยๆ เช่น คนที่ชอบโกรธ ก็จะโกรธไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีสติ ก็จะไม่เห็นความโกรธ แล้วเปลี่ยนเป็นความอาฆาต พยาบาท จิตมันจะไปเก็บสะสมความโกรธความ พยาบาทนี้ ในจิตเบื้องลึก ที่เรารู้จักกันในชือ “อนุสัย” ในคอมพิวเตอร์หล่ะเก็บไว้ที่ไหน เมื่อ RAM เก็บข้อมูลไว้จำนวนหนึ่ง และเมื่อมันมีความจุไม่พอ มันต้องไปหาที่เก็บอีกที่ หรือ ที่เรารู้จักในนามของ “Hard-disk ฮาร์ดดิส” Harddisk มันสามารถเก็บข้อมูลไว้ได้แม้จะไม่มีไฟจ่ายมาเลี้ยง (ไม่เหมือนหน่วยความจำที่เรียกว่า RAM) เจ้า harddisk นี่แหล่ะคือ ข้อมูลที่บันทึกไว้ข้ามภพข้ามชาติ คือ ถ้าข้อมูลที่เก็บใน RAM และคอมพิวเตอร์ยังจ่ายไฟให้ RAM ความจำส่วนนี้ก็ยังอยู่ (เหมือนคนเราที่ยังมีชีวิตอยู่ ข้อมูลเหล่านี้บางทีเราก็จำได้) สังเกตอย่างหนึ่งไหมว่า บางทีเราจำสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นตอนเด็กๆ ได้อย่างดี สิ่งเหล่านั้นคือ สิ่งที่มากระทบเราอย่างแรง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ประทับใจหรือสิ่งที่โหดร้ายกับตัวเรา (อย่างที่อธิบายไว้ในตอนแรก ถ้ามีอะไรกระทบแรงๆ จิตมันจะเข้าไปรู้สึกตรงนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และบันทึกไว้ในจิตเบื้องลึก) นี่แหล่ะตรงนี้แหล่ะ คือ สิ่งที่จะติดไปกับจิตวิญญาณของเราข้ามภพข้ามชาติ ทีนี้เราจะทำอย่างไรกับข้อมูลใน harddisk ดีหล่ะ? ทำอย่างไรให้ข้อมูลใน harddisk ค่อยๆ หมดไป (อนุสัย ค่อยๆ หมดไป) กลับย้อนไปกระบวนการทำงานของจิต ที่ควบคุมร่างกายเรา ทั้งที่เรียกว่า ผู้รู้ และ ผู้คิดทั้งผู้รู้และผู้คิด เค้าทำหน้าที่ของเค้าไป ถึงแม้บางทีเราดำรงชีวิตเราไปเรื่อยๆ ทั้งผู้รู้และผู้คิดเค้าก็ทำงานของเค้าไป เพื่อให้ร่างกายนี้มันไม่มีอันตราย เค้าทำงานแบบเงียบๆ โดยไม่เราไม่รู้ตัว ถ้าพูดง่ายๆ คือ บงการเราอยู่เบื้องหลังโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย อยากจะให้เราเป็นอย่างไรก็ได้ ทีนี้มาดูกันว่า เราจะไม่ให้เจ้า ผู้รู้ ผู้คิด เนี่ยะมาบงการเราได้ ทำอย่างไร เราก็ต้องไปแอบดักจับดูกระบวนการตอนที่ เจ้าผู้รู้ ผู้คิด นี่แอบทำงาน โดยเอาจิตอีกดวงไปสังเกต เช่น เวลาเจ้าผู้คิด ทำหน้าที่คิด มันจะคิดๆๆๆๆ ไปแบบนี้ทั้งวันทั้งคืน เราก็ไปดักดูว่า น่านมันคิดไปอีกแล้ว (แหม๋บางทีคิดไป พอเราไม่รู้ตัวเราก็หลงไปกับมันทำให้เราโกรธแค้น ถึงกับไปทำร้ายคนที่เราโกรธแค้นไว้ ออกมาทั้งกาย วาจา ใจ, หรือบางที เจ้าตัวคาดเนี่ยะหลอกให้เราคิดถึงความรัก วันๆ ไม่ทำอะไรนั่งเพ้อฝันถึงหน้าคนที่เรารัก คำพูดหวานๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า) อีกหน้าที่นึง คือ มันมีหน้าที่หลอกเรา หลอกให้เราตกอยู่ในอารมณ์ต่างๆ แล้วหลุดออกมาสังเกตมันทำงานไม่ได้ นี่แหล่ะมันถึอว่าภาระกิจมันสำเร็จแล้ว
แต่ถ้าเรามีสติ ไปสังเกตเวลามันแอบทำงาน เรารู้เลยว่ามันหลอกเราให้คิดแล้วไปทำโน่น นี่ นั่น เราหยุดไว้ทัน พอหยุดไว้ทัน มันก็จบแค่นั้น ข้อมูลก็ไม่ถูกบันทึกไว้ในเม็มโมรี่ เจ้าอนุสัยนี่ร้ายกาจมาก มันฝังตัวข้ามภพข้ามชาติกันทีเดียว ใครสะสมอะไรมันก็ส่งผลมามาก เช่น สะสมความโกรธไว้มาก มีอะไรมากระทบนิดหน่อยก็โกรธแล้ว หรือ สะสมความโลภไว้มากอยากได้ไปหมด สะสมราคะไว้มากเห็นสิ่ง
สวยงามมาล่อตาล่อใจมันก็กระโจนใส่ทันที แล้วเราจะล้างมันได้อย่างไรสิ่งพวกนี้ ก็อย่างที่บอกคือ รู้ทันมันก่อนที่มันจะหลอกเราให้ทำอะไรต่อไป รู้ทันมัน เช่น มันคิดเรื่องที่เราไม่พอใจ ทำให้เราโกรธ
มันขุดอนุสัยตรงนี้ขึ้นมา พอเรารู้ทันมันเราก็ไม่ทำตามมัน ความโกรธตรงนั้นก็ดับ รู้ทันมันไปเรื่อยๆ มันถูกตัดไปเรื่อยๆ จนมันอ่อนแรง เหมือนการตัดหญ้า สนามหญ้าของเราถ้าไม่ได้ตัดสักพักหญ้าจะขึ้นสูง ต้นใหญ่ รากแข็งแรง เราตัดครั้งแรกมันก็จะไม่เกลี้ยง แต่อาศัยว่าตัดบ่อยๆ พอยังไม่ทันจะโตก็ตัด ตัดไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมัน
อ่อนแอ และขึ้นแทบจะไม่ได้เลย และในที่สุดก็ถูกถอนรากถอนโคนไป หลายคนขี้เกียจตัดหญ้าไปหาอะไร เช่น หินมาทับมันไว้ พยายามไปกดข่มไม่ให้เจ้าอนุสัยออกมา (ต้องให้มันออกมาเหมือนหญ้าและคอยตัดไปบ่อยๆ) พอมันไม่ออกมาคราวนี้ ลองยกหินออกสิ แล้วปล่อยไว้สักพัก มันจะโตเร็วมาก รากหนาใหญ่ ฝังไปลึก ยากต่อการกำจัดยิ่งนัก เพราะฉะนั้นเวลามีอะไรเกิดขึ้น ให้รู้ ไม่ใช่ให้ไปข่มไว้ (อย่าโกรธนะ อย่าโกรธนะ) มันจะทำให้หญ้ายิ่งแข็งแรงยิ่งขึ้น เวลาเรายกหินออกจากหญ้าตรงนั้น

เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ทัน มีสติ แล้วกระบวนการต่างๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

ท่านว่ามันมีสามนะครับ คือ รูป จิต เจตสิก(สิ่งประกอบจิต) ..สัญญาคือ rom/ram สังขารคือซอฟต์แวร์ เวทนาคืออินพุท ส่วนจิตอุปมาได้ดั่งซีพียู อาจไม่ตรงทีเดียวนักแต่พอทน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท