​วันวิสาขบูชา : สำคัญอย่างไรกับพุทธศาสนา


วันวิสาขบูชา : สำคัญอย่างไรกับพุทธศาสนา

ถวิล อรัญเวศ*

รอง ผอ.สพป.นครราชสีมา เขต 4

31 พฤษภาคม 2558

ความเป็นมา

วันวิสาขบูชา เป็นวันสำคัญวันหนึ่งทางพระพุทธศาสนาสำหรับชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก ทั้งนี้เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้า 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ วันประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพาน โดยเหตุการณ์ทั้งสามเหตุการณ์ได้เกิด ณ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (แต่ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่า เป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง และเรียกการบูชาในวันนี้ว่า "วิสาขบูชา" มาจาก "วิสาขปุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" หรือวันเพ็ญเดือน 6 หรือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6

วันวิสาขบูชา ได้รับการยกย่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลกให้เป็นวันสำคัญสากลทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นวันที่บังเกิดเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าและจุดเริ่มต้นของศาสนาพุทธ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,558 ปีมาแล้ว ณ ดินแดนที่เรียกว่าชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล โดยเหตุการณ์แรก เมื่อ 80 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ" ณ ใต้ร่มสาลพฤกษ์ ในพระราชอุทยานลุมพินีวัน (อยู่ในเขตประเทศเนปาลในปัจจุบัน) และเหตุการณ์ต่อมา เมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันที่เจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลุ

พระสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มโพธิ์พฤกษ์ ริมฝั่ง

* น.ธ.เอก ป.ธ.5 ศน.บ. (ศึกษาศาสตร์) จาก มมร. ศษ.บ. (ภาษาไทย-มัธยม) จาก มสธ.

ศษ.ม. (การประถมศึกษา) จาก ม.ขอนแก่น ประกาศนียบัตรวิชาชีพบริหารการศึกษา และ

ค.ม. (บริหารการศึกษา) จาก ม.ราชภัฏนครราชสีมา อยู่ในระหว่างทำดุษฎีนิพนธ์

สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ม.วงษ์ชวลิตกุล จังหวัดนครราชสีมา

แม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (อยู่ในเขตประเทศอินเดียในปัจจุบัน) และเหตุการณ์สุดท้าย

เมื่อ 1 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันเสด็จดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มสาลพฤกษ์ ในสาลวโนทยาน พระราชอุทยานของเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา (อยู่ในเขตประเทศอินเดียในปัจจุบัน) โดยเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 หรือเดือนวิสาขะ ชาวพุทธจึงนับถือว่าวันเพ็ญเดือน 6 นี้ เป็นวันที่รวมวันคล้ายวันเกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของพระพุทธเจ้าไว้มากที่สุด และได้นิยมประกอบพิธีบำเพ็ญบุญกุศลและประกอบพิธีพุทธบูชาต่าง ๆ เพื่อเป็นการถวายสักการะแสดงความกตัญญู รำลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบมาจนปัจจุบัน

วิสาขบูชา มีการนับถือปฏิบัติกันในหลายประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งมหายานและ

เถรวาททุกนิกายมาช้านานแล้ว ในบางประเทศเรียกพิธีนี้ว่า "พุทธชยันตี" (Buddha Jayanti) เช่นในอินเดีย และศรีลังกา ปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ เช่น ประเทศอินเดีย ประเทศไทย ประเทศพม่า ประเทศศรีลังกา สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น (ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรที่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมากที่สุด) ในฝ่ายของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้รับคติการปฏิบัติบูชาในวันวิสาขบูชามาจากลังกา (ประเทศศรีลังกา) ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่ามีการจัดพิธีวิสาขบูชามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

วันวิสาขบูชา ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เพราะชาวพุทธทุกนิกายจะพร้อมใจกันจัดพิธีพุทธบูชาในวันนี้พร้อมกันทั่วทั้งโลก (ซึ่งไม่เหมือนวันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชา ที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่นิยมนับถือกันเฉพาะในประเทศไทย ลาว และกัมพูชา) และด้วยเหตุนี้ ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติจึงยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็น "วันสำคัญสากล" หรือInternational Day ตามข้อมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 54/112 ลงวันที่ 13 ธันวาคม

พ.ศ. 2542 หรือ 15 ปีกว่ามาแล้ว

ปัจจุบัน ประเทศไทยได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ โดยพุทธศาสนิกชนทั้ง พระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น ตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา เวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันคล้ายวันที่ "ประสูติ" ของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาได้ "ตรัสรู้" เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงกอปรไปด้วย "พระบริสุทธิคุณ", "พระปัญญาคุณ" ผู้ซึ่งได้ทรงสั่งสอนประกาศพระสัจธรรม คือ ความจริงของโลก แก่ชนทั้งปวงโดย "พระมหากรุณาธิคุณ" จวบจนทรง "เสด็จดับขันธปรินิพพาน" ในวาระสุดท้าย ทั้งสามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องในวันเพ็ญเดือน 6 นี้ทำให้พระพุทธศาสนาได้บังเกิดและสืบต่อมาอย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน

วันวิสาขบูชาปี 2558 ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายน 2558 ซึ่งปกติวันวิสาขบูชา ตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 แต่ปีนี้เป็นปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหนก็เลื่อนเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 นั่นเอง

วันวิสาขบูชาสำคัญอย่างไรกับพระพุทธศาสนา

วันวิสาขบูชา เป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมศาสดาของพระพุทธศาสนา คือ

วันประสูติ

เหตุการณ์ในวันประสูติเป็นเหตุการณ์สำคัญลำดับแรกของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในวันเพ็ญ เดือนวิสาขมาส โดยพระพุทธเจ้าหรือพระนามเดิม "เจ้าชายสิทธัตถะ" ได้ประสูติในพระบรม

ศากยราชวงศ์ เป็นพระราชโอรสแห่งพระเจ้าสุทโธทนะศากยราชา ผู้ทรงดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ และ พระนางสิริมหามายา ศากยราชเทวี ผู้เป็นพระราชมเหสีแห่งพระเจ้าสุทโธทนะ โดยเจ้าชายสิทธัตถะทรงดำรงตำแหน่งศากยมกุฏราชกุมาร ผู้จักได้รับสืบพระราชบัลลังก์เป็นกษัตริย์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์สืบไป

อรรถกถา กล่าวว่า หลังจากพระโพธิสัตว์ผู้ดำรงอยู่ในดุสิตเทวโลกได้บำเพ็ญพระบารมีครบถ้วนแล้ว ได้ทรงรับคำอาราธนาเพื่อจุติลงมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์จึงได้จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมาสู่พระครรภ์ของพระนางสิริมหามายา เมื่อเวลาใกล้รุ่ง วันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปี ระกา ก่อนพุทธศักราช 80 ปี

เมื่อพระนางสิริมหามายาทรงพระครรถ์ครบถ้วนทศมาส (10 เดือน)ในวันเพ็ญ เดือนวิสาขมาส (ตรงกับ วันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี) พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จ พระราชดำเนินกลับไปประสูติพระราชบุตรยังเมืองเทวทหะ อันเป็นเมืองบ้านเกิดของพระองค์ แต่ขณะเสด็จพระราชดำเนินได้เพียงกลางทางหรือภายในพระราชอุทยานลุมพินีวันซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองเทวทหะต่อกัน พระองค์เกิดประชวรพระครรภ์จะประสูติ อำมาตย์ผู้ตามเสด็จจึงจัดร่มไม้สาละถวาย พระนางจึงประสูติพระโอรส ณ ใต้ร่มไม้สาละนั้น โดยขณะประสูติพระนางประทับยืน พระหัตถ์ทรงจับกิ่งสาละไว้ เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติแล้ว (โดยอาการที่พระบาทออกจากพระครรภ์ก่อน) พระโพธิสัตว์ได้ทรงพระดำเนินไปได้ 7 ก้าว และได้ทรงเปล่งอาสภิวาจา (วาจาประกาศความ

ภาพจากอินเทอร์เน็ต

เป็นผู้สูงสุด) ขึ้นว่า “อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว.” แปลว่า : เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก เราเป็นผู้เจริญที่สุดแห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐที่สุดแห่งโลก ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้าย บัดนี้ ภพใหม่ย่อมไม่มี ดังนี้ (สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี.

อจฺฉริยอพฺภูตธมฺมสุตฺต อุปริ. ม. 14/249-251/366-7-8-9, 371) โดยการทรงเปล่งอาสภิวาจาเป็นอัศจรรย์นี้ นับเป็นบุรพนิมิตแห่งพระบรมโพธิญาณ ที่เจ้าชายน้อยผู้เป็นพระบรมโพธิสัตว์จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในกาลอีกไม่นาน

วันตรัสรู้

เมื่อพระองค์ทรงออกผนวชแล้ว พระองค์ทรงเข้าศึกษาในสำนักลัทธิต่าง ๆ เช่น สำนักของอาฬารดาบส รามบุตรและสำนักอุทกดาบสรามโคตร ได้บรรลุสมาบัติ 8 สิ้นความรู้เจ้าสำนักทั้งสอง แต่พระองค์ยังไม่ทรงพอพระทัยในสมาบัติ 8 นั้น เพราะสมาบัติทั้ง 8 นั้น ไม่สามารถทำให้พระองค์ตรัสรู้ได้ จึงทรงออกจากสำนักของอาจารย์ทั้งสอง เสด็จไปถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เป็นสถานซึ่งเป็นที่รมณียสถาน มีป่าชัฏ แม่น้ำใสสะอาด และมีโคจรคาม (สถานที่บิณฑบาต) อยู่โดยรอบ จึงทรงตั้งพระทัยที่จะบำเพ็ญเพียรอยู่ ณ ที่แห่งนี้

เหตุการณ์ก่อนตรัสรู้ ได้แก่

1. ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา

พระพุทธเจ้า มหาบุรุษทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาไม่เสวยพระกระยาหารจนพระวรกายผอมเหลือถึงกระดูก ภายในถ้ำดงคสิริในช่วงแรกนั้น พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรทางกาย คือ "ทุกกรกิริยา” คือ

การบำเพ็ญเพียรที่นักพรตผู้บำเพ็ญตบะในสมัยนั้นยกย่องว่าเป็นยอดของการบำเพ็ญเพียรทั้งปวง 3 ประการ โดยในระหว่างบำเพ็ญเพียร ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ผู้เป็นพราหมณ์ (โกณฑัญญะ) และบุตรแห่งพราหมณ์ (ปัญจวัคคีย์ที่เหลือ) ที่ได้ร่วมงานทำนายลักษณะมหาบุรุษแห่งเจ้าชายสิทธัตถะ (ในคราว 5 วันหลังจากประสูติ) ว่า "ถ้าเจ้าชาย

สิทธัตถะออกผนวช จักได้เป็นศาสดาเอกของโลก" เมื่อท่านเหล่านั้นได้ทราบข่าวการออกผนวชของเจ้าชายสิทธัตถะ จึงชักชวนกันออกบวชเพื่อตามหาเจ้าชาย และได้พบเจ้าชายสิทธัตถะในขณะกำลังบำเพ็ญทุกกรกิริยาจึงคอยเฝ้าอยู่ปฏิบัติ

ต่อมา เมื่อพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญเพียรถึงขั้นยวดยิ่งแล้วแต่ยังไม่ตรัสรู้ พระองค์ได้ทราบอุปมาแห่งพิณ 3 สาย ว่าการปฏิบัติเช่นนี้เป็นหนทางอันสุดโต่งจนเกินไป จึงได้ละทุกกรกิริยาเสีย

ทรงหันกลับมาเสวยอาหาร เหล่าปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 จึงคิดว่าพระองค์ทรงคลายความเพียรทางกายด้วยทุกกรกิริยา ไม่มีโอกาสตรัสรู้ได้ จึงพาพวกละทิ้งพระองค์ไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี

2. ทรงตรัสรู้

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะกลับมาเสวยพระกระยาหารจนพระวรกายกลับมามีพระกำลังขึ้นเหมือนเดิมแล้ว จึงทรงเปลี่ยนมาเริ่มบำเพ็ญเพียรทางใจต่อไป จนล่วงเข้าเช้าวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน

วิสาขมาส หลังบรรพชาได้ 6 ปี นางสุชาดา ธิดานายบ้านอุรุเวลาเสนานิคม ได้นำข้าวมธุปายาสไปถวายพระองค์ขณะประทับอยู่ ณ ต้นไทรใกล้กับบ้านของนาง ด้วยคิดว่าพระองค์เป็นเทวดา เพราะวันนั้นพระองค์มีรัศมีผ่องใส จนเมื่อทรงรับเสวยข้าวมธุปายาสแล้วจึงได้ทรงนำถาดทองคำไปอธิษฐานลอยในแม่น้ำเนรัญชรา

จวบจนเวลาเย็น ได้ทรงรับถวายหญ้าคา (หญ้ากุศะ) 8 กำมือ จากนายโสตถิยะพราหมณ์ ทรงนำไปปูลาดเป็นโพธิบัลลังก์ ณ ใต้ต้นอัสสถะพฤกษ์ (หลังจากการตรัสรู้จึงได้ชื่อใหม่ว่า "ต้นพระศรีมหาโพธิ์" หรือ "ต้นโพธิ์") ต้นหนึ่ง ริมฝั่งน้ำเนรัญชรา ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก หันพระปฤษฏางค์ (หลัง) ไปทางลำต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงอธิษฐานในพระทัยว่า

...หนัง เอ็น กระดูก จักไม่เหลืออยู่ เนื้อและเลือดในสรีระ จักเหือดแห้งไปก็ตามที เมื่อยังไม่ลุถึงประโยชน์อันบุคคลจะลุได้ด้วยกำลังของบุรุษ (การตรัสรู้) ด้วยความเพียรของบุรุษ (มนุษย์) ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักหยุดความเพียรนั้นเสีย เป็นไม่มีเลย...(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี ปญฺจมสุตฺต กมฺมกรณวคฺค ทุก. อํ 20/64/251)

ภาพจากอินเทอร์เน็ต

จากนั้น พญามารได้ยกพลเสนามารมาผจญ พระองค์ต้องต่อสู้ด้วยพระบารมี 10 ทัศ กล่าวในแง่ธรรมาธิษฐาน คือ ทรงต่อสู้กับกิเลสภายในใจจนทรงเอาชนะได้ด้วยพระบารมี คือ ความลำบากในการบำเพ็ญความดีทั้งปวง อันทรงได้สั่งสมมาตลอดแต่ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ทรงต่อสู้จนพญามารพ่ายแพ้ไปตอนพระอาทิตย์จะตกแล้ว พระองค์จึงทรงเริ่มเจริญสมถภาวนา ทำจิตใจให้เป็นสมาธิ จนบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน ตามลำดับ แล้วทรงทำให้ฌานอันเป็นองค์แห่งปัญญา 3 ประการ เกิดขึ้นในยามทั้ง 3 คือ

1.ปฐมยาม ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ" คือ ทรงสามารถระลึกชาติได้

2.มัชฌิมยาม ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือ รู้การตายการเกิดของสัตว์ทั้งปวง หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าได้ ทิพยจักษุญาณ คือ ตาทิพย์

3.ปัจฉิมยาม พระองค์ได้ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท คือ ธรรมที่อาศัยซึ่งกันและกัน เกิดขึ้นเป็นเหตุเป็นผลของกันและกันต่อเนื่องเสมือนกับลูกโซ่ จนได้รู้แจ้งซึ่งอริยสัจธรรม 4 ประการ คือ

ทุกข์ ความทุกข์ สภาวะที่ทนได้ยาก ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ (ปัญหา) สมุทัย สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (สาเหตุของปัญหา)นิโรธ ความดับไปซึ่งต้นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ (จุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหา)

มรรค ทนทางที่จะดับทุกข์ได้ (วิธีการแก้ปัญหา) (สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาวาร. สํ.19/528/1664)

แล้วพระองค์จึงทรงบรรลุซึ่ง "อาสวักขยญาณ" คือ ความรู้เป็นเหตุสิ้นอาสวกิเลสทั้งปวง เมื่อนั้นจิตของพระองค์ก็หลุดพ้นจากกิเลสและอาสวะทั้งปวง ไม่มีความยึดถือมั่นด้วยตัณหาอุปาทานอันเป็น

การได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสมบูรณ์ ในยามที่ 3 แห่งคืนวิสาขมาส ก่อนพุทธศักราช 45 ปี

ตั้งแต่นั้น พระองค์ทรงได้รับการถวายพระนามบัญญัติโดยคุณนิมิตแห่งพระองค์ว่า "อรหํ" เป็นพระอรหันต์ผู้ห่างไกลจากกิเลสทั้งปวง และ "สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ได้ตรัสรู้ชอบได้โดยลำพังพระองค์เอง หามีผู้ใดเป็นครูอาจารย์ไม่ ต่อมา พระองค์ได้ทรงนำสิ่งที่พระองค์ทรงรู้แจ้งในวันตรัสรู้นี้มาเผยแก่หมู่ชนทั้งหลาย พระองค์จึงทรงได้รับขนานพระนามว่า "สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า" สืบมา

วันปรินิพพาน

พระพุทธองค์ทรงปลงพระชนมายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ เมืองเวสาลี สถานที่ที่พระพุทธองค์ทรงทำการปลงพระชนมายุสังขารพระพุทธองค์ทรงปฏิบัติดำรงตนในฐานะพระบรมศาสดา เผยแผ่ พระธรรมวินัย คือ พระพุทธศาสนาแก่พหูชนชาวชมพูทวีปเป็นเวลากว่า 45 ปี ทำให้พระศาสนาตั้งหลักฐานอย่างมั่นคง ณ ชมพูทวีปกว่าพันปี และพระพุทธศาสนาได้ขยายออกไปทั่วแผ่นดินเอเชียนับแต่นั้นมา จวบจนพระพุทธองค์มีพระชนมายุ 80 พรรษา มีพระวรกายชราภาพเสมือนคนทั่วไปพระองค์ตรัสว่า ศาสนาของพระองค์ได้ทรงตั้งมั่นแล้ว ทรงทำหน้าที่แห่งพระพุทธเจ้าบริบูรณ์แล้วในเวลาสามเดือนก่อนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ขณะพระองค์ประทับอยู่ ณ ปาวาลเจดีย์ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี ได้ตรัสอภิญญาเทสิตธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วพระองค์ทรงทำการปลงพระชนมายุสังขารว่า ...ภิกษุทั้งหลาย! บัดนี้ เราจักเตือนท่านทั้งหลาย: สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไป

เป็นธรรมดา..., ตถาคตจักปรินิพพาน โดยกาลล่วงไปแห่งสามเดือนจากนี้...(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาปรินิพฺพานสุตฺต มหา. ที. 10/142/109)


จากนั้น พระองค์เสด็จไปบ้านภัณฑคาม บ้านหัตถิคาม จนเสด็จถึงเมืองปาวา โดยลำดับ ที่นี้พระองค์ได้ประทับที่สวนมะม่วงของนายจุนทะ กัมมารบุตร ทรงแสดงธรรมแก่นายจุนทะ และเสด็จไปรับบิณฑบาตในวันรุ่งขึ้น พระองค์ทรงอนุญาตรับบิณฑบาตเสวยสูกรมัททวะที่นายจุนทะจัดไว้ (ต่อจากนี้ พระองค์ทรงประชวรด้วยโรคปักขันธิกาพาธอย่างกล้าจวบจนสิ้นพระชนมายุ จากนั้น ได้เสด็จไปสู่เมืองกุสินาราในกลางทางทรงพักที่ร่มไม้แห่งหนึ่ง รับสั่งให้พระอานนท์ปูลาดสังฆาฏิเพื่อเสวยน้ำดื่มและทรงสนทนากับปุกกุสสะ มัลละบุตร จนเกิดศรัทธาถวายผ้าเนื้อดีสองผืน ทรงรับสั่งให้นำมาห่มคลุมพระองค์ผืนหนึ่ง อีกผืนหนึ่งรับสั่งให้ถวายแก่พระอานนท์ เมื่อปุกกุสสะถวายผ้านั้นแล้วหลีกไป พระอานนท์ได้น้อมถวายผ้าของตนแก่พระพุทธเจ้า ได้เห็นพระวรกายของพระองค์ว่ามีพระฉวีผ่องใสยิ่งจึงได้ทูลถาม พระองค์ตรัสตอบว่า

...อานนท์! เป็นอย่างนั้น, กายของตถาคต ย่อมมีฉวีผุดผ่องในกาลสองครั้งคือ ในราตรีที่ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ, และราตรี ที่ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. อานนท์!

การปรินิพพานของตถาคตจักมีในระหว่างต้นสาละคู่ ในสวนสาละอันเป็นที่พักของพวกมัลลกษัตริย์ ใกล้เมืองกุสินารา ในตอนปัจฉิมยามคืนนี้...(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาปรินิพฺพานสุตฺต มหา.
ที. 10/149/117)

เมื่อเสด็จถึงพระราชอุทยานของมัลลกษัตริย์ พระองค์ทรงให้พระอานนท์จัดที่บรรทมระหว่างต้นสาละคู่ ขณะทรงประทับสีหเสยยาสน์หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ ได้เกิดอัศจรรย์ คือ

ดอกกาละผลิดอกผิดฤดูกาลโปรยลงบนพระสรีระ ดอกมณฑารพ จุรณ์ไม้จันทร์ ตกลงและดนตรีทิพย์บรรเลงขึ้นเพื่อบูชาแก่พระพุทธเจ้า เทวดาทั่วโลกธาตุได้มาประชุมกันเพื่อเห็นพระพุทธเจ้า บางองค์คร่ำครวญเสียใจด้วยอาการต่าง ๆ

ทรงประทานพระปัจฉิมโอวาท

จากนั้น พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกมัลละกษัตริย์เข้าเฝ้าและได้ตรัสแก้ปัญหาของสุภัททะปริพาชก จนเกิดศรัทธาขอบรรพชาด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาเป็นพระสาวกองค์สุดท้ายในบรรดาสาวกที่ทันเห็นพระพุทธองค์ แล้วตรัสให้พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์เป็นผู้สืบศาสดาไว้ว่า

...อานนท์! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นองค์ศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว...(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาปรินิพฺพานสุตฺต มหา. ที. 10/149/117)

จากนั้นตรัสพระโอวาทที่สำคัญ ๆ อีก 4-5 เรื่อง จนในที่สุดตรัสพระปัจฉิมโอวาทเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่า

...หนฺททานิ ภิกฺขเว อามนฺตยามิ โว วยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ...

แปลว่า : ภิกษุทั้งหลาย! บัดนี้ เราจักเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า "สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา. พวกเธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด"

(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาปรินิพฺพานสุตฺต มหา. ที. 10/149/117)

จากนั้น พระองค์ทรงนิ่งเงียบ หลับตา ทรงเข้าอนุปุพพวิหารสมาบัติ 9 มีรูปฌาน 4 คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน จากนั้นเป็นอรูปฌาน 4 คือ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ (เรียกรวมเป็น สมาบัติ 8) และ นิโรธสมาบัติ 1 ชื่อเต็มคือสัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วย้อนลงมาตามลำดับจนถึงปฐมฌาน แล้วย้อนขึ้นอีกเป็น ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌานเป็นปัจฉิมสมาบัติ เมื่อออกจากจตุตถฌานจึง เสด็จดับ

ขันธปรินิพพาน

พระพุทธองค์ตรัสถึงความดับสมุทัยอันเป็นเหตุแห่งความดับทุกข์ (เสด็จดับขันธปรินิพพาน) ไว้เมื่อคราวทรงพระชนม์อยู่ว่า

...ต้นไม้ เมื่อโคนต้นยังอยู่ ไม่มีอุปัทวะ แม้ถูกตัด (ส่วนบน) แล้วก็งอกได้อีกอยู่นั่น ฉันใดก็ดี แม้ทุกข์นี้ก็ฉันนั้น เมื่อตัณหานุสัยยังมิได้ถูกถอนทิ้งแล้ว ก็ได้เกิดร่ำไป...(สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. ขุ. ธ. 25/338/138)

กล่าวคือ พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานเพราะความดับไปแห่งสมุทัย คือ ได้ทรงถอนเสียสิ้นซึ่งต้นและราก กิเลสตัณหาอันเป็นสาเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวงนี้แล้วเมื่อในวันตรัสรู้ การเสด็จดับขันธปรินิพพานนี้จึงเป็นการตายครั้งสุดท้ายของพระพุทธองค์ โดย "สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ"

(สิ้นตัณหาเมื่อคราวตรัสรู้ และสิ้นขันธ์ห้า เมื่อคราวปรินิพพาน)

เมื่อนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ โลมชาติลุกขึ้นชูชัน กลองทิพย์บรรลือลั่นไปในอากาศ ไว้อาลัยแด่การจากไปของพระพุทธองค์ ผู้ทรงเป็นบรมครูของโลก กายของพระองค์สิ้นเชื้อคือตัณหาที่จะนำไปเกิดในภพใหม่ ครั้นกายแตกดับแล้ว ถึงความเป็นของว่าง ไม่มีอะไรเหลือสำหรับส่วนผสมของกายในภพต่อไป พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานในปัจฉิมราตรี วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 1 ปี ตามการนับของไทย (หากเป็นกัมพูชาหรือพม่า จะนับเป็น พ.ศ. 1 ทันที)

หลักธรรมในวันวิสาขบูชา

วันวิสาขบูชา เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของพระพุทธเจ้าถึง 3 เหตุการณ์ คือ

การประสูติ การตรัสรู้ และการปรินิพพาน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในเหตุการณ์เหล่านั้น คติธรรมหลักคือ “ไตรลักษณ์ หรืออนิจจลักษณะ” อันได้แก่ความเป็นธรรมดาของโลก 3 ประการ คือ อนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกขัง ความเป็นทุกข์ คือตั้งอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และอนัตตา ความที่สังขารทั้งหลายไม่สามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้ (เช่น บังคับไม่ให้แก่ไม่ได้ บังคับไม่ให้ตายไม่ได้) ซึ่งทุกสรรพสิ่งในโลก ล้วนตกอยู่ในสภาพ 3 ประการนี้ แม้พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระบรมศาสดาของโลก ก็ยังต้องทรงตกอยู่ในกฎเหล่านี้ ไม่มีใครสามารถพ้นไปได้

การประยุกต์หลักธรรมวันวิสาขบูชาไปปฏิบัติ

หลักธรรมคติเทียบเคียงกับเหตุการณ์ทั้ง 3 ที่สามารถนำมาประพฤติปฏิบัติได้ 3 อย่าง คือ

  • ความกตัญญู
  • อริยสัจ 4
  • ความไม่ประมาท

หลักคติธรรมอุปมาที่ได้จากเหตุการณ์ในวันวิสาขบูชา ทั้ง 3 เหตุการณ์ คือ ความกตัญญู อริยสัจ 4 และ สติในเหตุการณ์วันประสูติ สามารถยกหลักธรรมมาเทียบเคียงได้ คือ "หลักความกตัญญู" เพราะในพระพุทธประวัติ แม้พระนางสิริมหามายา ผู้เป็นพระราชมารดาของเจ้าชาย

สิทธัตถะจะสิ้นพระชนม์ไปหลังที่เจ้าชายประสูติได้เพียง 7 วัน แต่เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ตรัสรู้แล้ว

พระองค์ก็ได้เสด็จไปโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถึงแม้พระเจ้าสุทโธทนะ ผู้เป็น

พระราชบิดา พระพุทธองค์ก็เสด็จไปโปรดถึงพระราชวังที่ประทับ จนพระเจ้าสุทโธทนะประชวรหนักใกล้สวรรคต พระพุทธองค์ก็ได้เสด็จเข้าไปโปรดจนพระราชบิดาได้บรรลุสำเร็จเป็นพระอรหันต์และนิพพานในพระราชวังในวันนั้นเอง ซึ่งในเรื่องความกตัญญูต่อบิดามารดา และผู้มีอุปการะก่อนนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้หลายพระสูตรด้วยกัน เช่นใน หลักทิศ 6 เป็นต้น ซึ่งความกตัญญูนั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะกับบุคคลเท่านั้น แต่รวมไปแม้กระทั่งต้นไม้ที่ให้ร่มเงาด้วย ดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า

"บุคคลนั่งหรือนอนที่ร่มเงาต้นไม้ใด ไม่ควรหักกิ่งต้นไม้นั้น ผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นคนเลวทราม"

('พระพุทธพจน์จาก — พระไตรปิฏก ขุททกนิกาย ชาดก. 28/26 ')

ความกตัญญู จึงนับได้ว่าเป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง มีตัวอย่างหลายเรื่องในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่กล่าวว่าพระพุทธองค์ทรงยกย่องผู้มีความกตัญญูต่อบิดามารดา เช่น เรื่องพระภิกษุเลี้ยงบิดามารดาในมหานิบาต เป็นต้น ซึ่งทำให้พระพุทธองค์ตรัสว่า "นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา" แปลว่า: "ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี" ('พระพุทธพจน์จาก
พระไตรปิฏก อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต "ปุตตสูตร" )

กล่าวโดยสรุป เหตุการณ์ประสูตินี้เป็นเครื่องเตือนให้พุทธศาสนิกชนระลึกถึงความกตัญญูกตเวที ที่ทุกคนควรมีในตนไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม

เหตุการณ์วันตรัสรู้ สามารถยกหลักธรรมมาเทียบเคียงได้ คือ "อริยสัจ 4" อันเป็นหลักธรรมในการแก้ปัญหาชีวิตที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ คือ

2.1."ทุกข์" ความไม่สบายกายไม่สบายใจ สภาวะที่ทนได้ยากทั้งหลาย (ปัญหา)

2.2"สมุทัย" ต้นเหตุของความทุกข์ คือกิเลสตัณหา (ต้นเหตุของปัญหา)

2.3."นิโรธ" จุดหมายที่จะดับทุกข์ คือนิพพาน (วางเป้าหมาย)

2.4."มรรค" แนวทางในการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ (ลงมือแก้ไข) (พระพุทธพจน์จาก
พระไตรปิฏก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค 19/528/1664)

เหตุการณ์วันปรินิพพาน พระพุทธองค์ตรัสปัจฉิมโอวาทไว้บทหนึ่ง อันเป็นยอดของคำสอนในพระพุทธศาสนาที่ทุกคนควรนำมาปฏิบัติ คือ การมีสติอยู่ทุกเมื่อ ไม่ให้ความทุกข์ร้อนใจอันเกิดจากอำนาจกิเลสเข้าครอบงำ กล่าวคือ ความไม่ประมาทในกาลทุกเมื่อ โดยพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า

"...อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ..." แปลว่า: "พวกเธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและท่าน ให้ถึงพร้อมด้วย ความไม่ประมาท เถิด" ('สยามรฏฺฐเตปิฏกํ ปาลี. มหาปรินิพฺพานสุตฺต มหา. ที. 10/149/117') ฯลฯ

การประกอบพิธีวิสาขบูชาในประเทศไทย

ประวัติความเป็นมาของการประกอบพิธีวันวิสาขบูชาในประเทศไทยในอดีตตั้งแต่สมัยสุโขทัย สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้พิธีวิสาขบูชาแพร่หลายในหมู่ประชาชน

การจัดพิธีวิสาขบูชาในประเทศไทย ได้รับอิทธิพลมาจากลังกา สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยเป็นราชธานี โดยปรากฏหลักฐานจากหนังสือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ซึ่งกล่าวถึงการพิธี

วิสาขบูชาไว้ว่ามีมาแต่สมัยสุโขทัยแล้ว โดยในหนังสือได้กล่าวไว้ว่างานวิสาขบูชาเป็นงานเฉลิมฉลองใหญ่สำหรับอาณาจักร ทั้งพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์และพสกนิกรทั้งปวงจะมาร่วมกันประกอบพิธีนี้ โดยมีการพร้อมใจกันทำความสะอาดและตกแต่งประดับประดาดอกไม้โคมไฟเพื่อเฉลิมฉลอง และพร้อมใจกันบำเพ็ญบุญกุศลและทานต่าง ๆ เช่น เข้าวัดทำบุญ รักษาศีล 5 ฟังพระธรรมเทศนา และการสาธารณะสงเคราะห์สาธารณประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ตั้งโรงทานเลี้ยงดูคนยากจนเป็นต้น เป็นเวลาถึงสามวันสามคืน เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เมื่อถึงวันวิสาขบูชา เวลาเย็นจะมีการเวียนเทียนรอบสถูปเจดีย์

ความจากหนังสือตำหรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ดังกล่าวมานี้ สมเด็จกรมพระยาดำรง

ราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายเกี่ยวกับเค้าโครงของหนังสือนี้ว่ามีเค้าโครงมาจากสมัยสุโขทัยจริง แต่รายละเอียดบางส่วนอาจจะมีการแต่งเสริมกันขึ้นมาในสมัยอยุธยาหรือรัตนโกสินทร์ อย่างไรก็ดี จากหลักฐานดังกล่าว (แม้จะไม่แน่ชัด) การพิธีวิสาขบูชา ย่อมเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย เพราะในสมัยนั้น

กรุงสุโขทัยได้สืบพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทมาจากลังกาประเทศ ซึ่งเป็นเมืองที่มั่นทางพระพุทธศาสนามาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช และขนาดของการจัดพิธีบูชาเฉลิมฉลองใน

วันวิสาขบูชาของชาวศรีลังกานั้น นับเป็นพิธีใหญ่และสำคัญมากของอาณาจักรมาตั้งแต่แรกรับพระพุทธศาสนามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการจัดพิธีเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาของประเทศศรีลังกานั้นมีความสำคัญและส่งอิทธิพลต่อประเทศพุทธศาสนาอื่นเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาณาจักรสุโขทัยที่รับสืบพระพุทธศาสนามาจากประเทศศรีลังกาโดยตรง และหลังการเสื่อมอำนาจของอาณาจักรสุโขทัย จนถึงในสมัยอยุธยาก็สันนิษฐานว่าคงมีการปฏิบัติพิธีวิสาขบูชาอยู่ แต่ลดความสำคัญลงไปมาก จนไม่ปรากฏหลักฐานในพระราชพงศาวดารหรือจารึกใด จนมาในสมัย

ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พิธีวิสาขบูชาจึงได้รับการฟื้นฟูอีกครั้ง หลังจากความเสื่อมของพระพุทธศาสนาหลังยุคสุโขทัยล่มสลาย เพราะหลังจากสิ้นยุคอาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรอยุธยาได้ถูกครอบงำด้วยแนวคิดทางคติพราหมณ์ซึ่งได้รับจากการซึมซับวัฒนธรรมฮินดูแบบขอม (นครวัด) จนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 พระองค์ได้มีพระราชประสงค์ให้ทำการฟื้นฟู

การประกอบพิธีวิสาขบูชาขึ้น พระองค์ได้ทรงปรึกษากับ สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (มี) วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) ให้วางแนวปฏิบัติการพระราชพิธีวิสาขบูชา และพระราชพิธีวันวิสาขบูชาครั้งแรกในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ได้จัดขึ้นเป็นการพระราชพิธีใหญ่ 3 วัน 3 คืน นับตั้งแต่วันศุกร์ ขึ้น 14 ค่ำ ถึง วันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 ปีฉลู นพศก จุลศักราช 1179 (พ.ศ. 2360) ในรัชสมัยของพระบาท

สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงเพิ่มจัดให้มีการเทศน์ปฐมสมโพธิกถา (พระพุทธประวัติ) ในวันวิสาขบูชาด้วย ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการตั้งโต๊ะเครื่องบูชารอบระเบียง

พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ปรากฏหลักฐานว่าได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจุดดอกไม้เพลิงถวายเป็นพุทธบูชา และให้พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการฝ่ายใน และหน่วยราชการ

ต่าง ๆ เดินเวียนเทียน จัดโคมประทีป และสวดมนต์ที่พระพุทธรัตนสถาน วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และมีการจัดพิธีวิสาขบูชาสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน

ความเป็นมาของการจัดพิธีวิสาขบูชาในประเทศไทยจากสมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบันดังกล่าว กล่าวได้ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้พิธีวิสาขบูชาแพร่หลายในหมู่ประชาชน ซึ่งปัจจุบันการพิธีวิสาขบูชาก็ได้แพร่หลายในประเทศไทยและได้รับการปฏิบัติสืบมาอย่างเข้มแข็ง วันวิสาขบูชากลายเป็นวันหยุดราชการโดยพฤตินัยมาแต่โบราณ[54] ทั้งภาครัฐภาคเอกชนประชาชนและคณะสงฆ์ได้กลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในวันวิสาขบูชาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาพร้อม ๆ กับชาวพุทธทั่วทั้งโลก และเป็นการช่วยกันสนับสนุนในการรักษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปพร้อม ๆ กันด้วยอีกทางหนึ่ง

การกำหนดวันวิสาขบูชาในแต่ละประเทศนั้น บางประเทศที่นับถือพุทธศาสนาอาจกำหนดวันไม่ตรงกับของไทยในบางปี เนื่องจากประเทศเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งบนโลกที่ต่างไปจากประเทศไทย ทำให้วันเวลาคลาดเคลื่อนไป

พระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลในวันวิสาขบูชานี้มีปรากฏในพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือน ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วย โดยได้ทรงกล่าวถึงการพระราชพิธีในเดือนหก คือพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลในวันวิสาขบูชาไว้ เรียกว่า "พิธีไพศาขย์ จรดพระราชนังคัล" (คือในเดือน 6 มีพระราชพิธีสำคัญสองพระราชพิธีคือ "พระราชพิธีวิสาขบูชา" (ในหนังสือพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือนใช้ศัพท์สันสกฤต) และ"พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ")

ปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานใน

การพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลฯ และบางครั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์เสด็จแทน โดยสถานที่ประกอบพระราชพิธีหลักจะจัดในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม สำนักพระราชวังจะออกหมายกำหนดการประกาศการพระราชพิธีนี้ให้ทราบทั่วไปเป็นประจำทุกปี ในอดีตจะใช้ชื่อเรียกการพระราชพิธีในราชกิจจานุเบกษาแตกต่างกัน บางครั้งจะใช้ชื่อ " การพระราชกุศลวิสาขบูชา และกาลานุกาล" หรือ " การพระราชกุศลกาลานุกาลวิสาขบูชา" หรือแม้ "วิสาขบูชา" ส่วนในรัชกาลปัจจุบัน สำนักพระราชวังจะใช้ชื่อเรียกหมายกำหนดการที่ชัดเจน เช่น "หมายกำหนดการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา พุทธศักราช 2551

รายละเอียดการประกอบพระราชพิธีวิสาขบูชา อาจพิจารณาได้จากราชกิจจานุเบกษา

ประกาศหมายกำหนดการวิสาขบูชาในปีนั้น ๆ ได้ ในอดีตการประกอบพระราชพิธีวันวิสาขบูชาจัดว่าเป็นพิธีใหญ่ ดังตัวอย่างความใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 13 หน้า 105 ที่ประกาศในวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2437 เรื่อง "การพระราชกุศลวิสาขบูชา และกาลานุกาล" ว่า

...วันจันทร์เพ็ญ เสวยวิสาขนักษัตรฤกษ ซึ่งนิยมสืบมาแต่โบราณว่า เป็นมหามงคลสมัย คล้ายกับวันประสูติแลวันตรัสรู้ วันดับขันธปรินิพพาน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ในรัตนโกสินทร์ศก 113 นี้ ตกในวันที่ 19 พฤษภาคม ได้มีการพระราชกุศลในพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม ตลอดไป 3 วันตามเคย คือเวลาเช้า วันที่ 18 ที่ 19 พฤษภาคม มีการเลี้ยงพระสงฆ์ 20 รูป วันที่ 20 พฤษภาคม มีการเลี้ยงพระสงฆ์ 34 รูป ที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เวลาค่ำในวันทั้ง 3 นั้น พระบรมวงศานุวงศ์แลข้าราชการ ได้จัดโคมตราตำแหน่งแลเทียนรุ่งมาจุด จัดพวงดอกไม้ต่าง ๆ มาแขวน ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม บูชาพระรัตนไตรย มีจำนวนโคมตรา 296 โคม เทียนรุ่ง 57 เล่ม พวงดอกไม้ 1005 พวง รวมทั้ง 3 คืน ของหลวงมีดอกไม้เพลิงบูชา แลเทศนาประถมสมโพธิ์ด้วย วันที่ 18 พฤษภาคม พระอมรโมลีถวาย คัพโภกกันติกถา 1 กัณฑ์ วันที่ 19 พฤษภาคม พระเมธาธรรมรส ถวายอภิสัมโพธิกถา 1 กัณฑ์ วันที่ 20 พฤษภาคม พระวิเชียรมุนี ถวายปรินิพพานกถา 1 กัณฑ์ ก่อนแต่มีเวลาเทศน์ ในวันที่ 19 ที่ 20 มีการเดินเทียนด้วย แลในวันที่ 19 นั้น พระสงฆ์ 24 รูป (ซึ่งได้รับพระราชทานฉันในวันที่ 20) ได้เจริญพระพุทธมนต์ที่พระที่นั่งดุสิตาภิรมย์ด้วย ส่วนการวิสาขบูชาตามพระอารามหลวงบางพระอาราม ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานเทียนรุ่งเทียนราย และเทียนประจำกัณฑ์ไป เช่นทุกปีมา อนึ่ง วันที่ 20 พฤษภาคม นี้ เป็นวันสดับปกรณ์กาลานุกาลด้วย พระสงฆ์ 34 รูปนั้น เมื่อรับพระราชทานฉันแล้ว ได้สดับปกรณ์ โดยที่จัดอนุโลมในพระบรมอัฏฐิแลพระอัฏฐิ ที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย 29 รูป ขึ้นไปสดับปกรณ์ ที่พระราชวังบวร 5 รูปแล้ว มีสดับปกรณ์รายร้อย 400 รูป...(ราชกิจจานุเบกษา, การพระราชกุศลวิสาขบูชา และกาลานุกาล, เล่ม 13, 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2437, หน้า 105)

ในรัชกาลต่อมาได้มีการลดทอดพิธีบางอย่างออกไปบ้าง เช่น งดการพระราชพิธีในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ลดวันประกอบพระราชพิธีจากสามวันคงเหลือสองวัน ยกเลิกการถวายภัตตาหารพระสงฆ์ หรือการจุดเทียนโคมเทียนราย เป็นต้น แต่ก็ยังคงมีการบำเพ็ญพระราชกุศลในวัด

พระศรีรัตนศาสดารามเหมือนเคย โดยในบางปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงประกอบพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชาและทรงเวียนเทียนรอบพุทธศาสนสถานเป็นการส่วนพระองค์ตาม

พระอารามหลวงหรือวัดราษฎร์ อื่น ๆ บ้าง ตามพระราชอัธยาศัย ซึ่งการพระราชพิธีนี้เป็น

การแสดงออกถึงพระราชศรัทธาอันแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนา ขององค์พระมหากษัตริย์ไทยผู้ทรงเป็นเอกอัครพุทธศาสนูปถัมภ์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

พระราชพิธีทรงตั้งเปรียญธรรม

การพระราชพิธีสำคัญอีกพระราชพิธีหนึ่งที่เนื่องด้วยพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลใน

วันวิสาขบูชานั้น คือ พระราชพิธีทรงตั้งเปรียญธรรม แก่พระสงฆ์และสามเณรซึ่งสอบไล่ได้ประโยคบาลีในสนามหลวง พระราชพิธีนี้ เป็นพระราชภาระแห่งองค์พระมหากษัตริย์ไทยมาแต่โบราณ เป็น

การยกย่องแก่พระสงฆ์สามเณรผู้มีความอุตสาหะเล่าเรียนศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ก็ได้รับเป็นพระราชภาระธุระ ในการส่งเสริมการศึกษาภาษาบาลีอันเป็นภาษาที่บันทึกพระไตรปิฎกและคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาตลอดมา โดยพระสงฆ์สามเณรที่สอบไล่ได้ประโยคบาลีในชั้นใด ตั้งแต่ เปรียญธรรม 3 ประโยค ขึ้นไป จะได้รับพระราชทานพัดยศตั้งสมณศักดิ์สายเปรียญธรรม ได้รับคำยกย่องนำหน้านามประดุจบรรดาศักดิ์ของฝ่ายฆราวาสว่า "พระมหา" และจะได้รับพระราชทานนิตยภัตรเป็นประจำทุกเดือน

ในอดีต การตั้งเปรียญจะตั้ง ณ ที่ใด ขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยขององค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งอาจจะเป็น ณ พระที่นั่งองค์ใดก็ได้ ภายในพระบรมมหาราชวังหรือพระราชวัง หรือวัด

พระศรีรัตนศาสดาราม ในรัชกาลปัจจุบัน พระสงฆ์สามเณรผู้สอบได้เปรียญธรรม ตั้งแต่เปรียญธรรม 6 ประโยค ขึ้นไป จะได้รับพระราชทานให้เข้ารับพระราชทานผ้าไตรพัดยศตั้งเปรียญธรรม ณ วัด

พระศรีรัตนศาสดาราม ในเวลาเย็นของ วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี โดยพระบาทสมเด็จ

พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานพัดยศตั้งเปรียญธรรมด้วยพระองค์เอง หรือในบางครั้งอาจจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์[63]หรือผู้แทนพระองค์ประกอบ

พระราชพิธีทรงตั้งเปรียญธรรมแทน

พิธีตั้งเปรียญธรรม 3 ประโยค (เริ่มใช้คำ มหานำหน้าพระ...)

ภาพจากเว็บไซต์ : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

พิธีสามัญ

พุทธศาสนิกชนต่างนำธูป เทียน ดอกไม้ เดินทางไปเวียนเทียนเนื่องในวันวิสาขบูชา ณ

พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐมการประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชาของพุทธศาสนิกชนชาวไทย โดยทั่วไปนิยมทำบุญตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา เวียนเทียนรอบอุโบสถหรือสถูปเจดีย์พุทธสถานต่าง ๆ ภายในวัด เพื่อเป็นการระลึกถึงวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญของพระพุทธเจ้าในวัน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6

พุทธศาสนิกชนชาวไทยนิยมนับถือเอาวันนี้เป็นวันสำคัญในการบำเพ็ญกุศล และปฏิบัติบูชาตามแนวทางพระบรมพุทโธวาท เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมา

สัมพุทธเจ้า โดยทั่วไปชาวพุทธในประเทศไทยนิยมตั้งใจไปวัดเพื่อบำเพ็ญกุศลทำบุญตักบาตรฟัง

พระธรรมเทศนาและเจริญจิตตภาวนาในวันนี้ เมื่อตกกลางคืนก็มีการเวียนเทียนถวายเป็นพุทธบูชาตามอารามต่าง ๆ และอาจมีการบำเพ็ญปกิณณกะกุศลต่าง ๆ ตามแต่จะเห็นสมควร

การประกอบพิธีวันวิสาขบูชาในปัจจุบันนี้นอกจากการเวียนเทียน ทำบุญตักบาตรฯ ใน

วันสำคัญแล้ว ยังมีหน่วยงานภาครัฐ องค์กรทางศาสนา และภาคประชาชน ร่วมกันจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้นมากมาย เพื่อเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและประชาสัมพันธ์กิจกรรมทางพระพุทธศาสนาต่าง ๆ ให้แก่ประชาชน เช่น กิจกรรมสัปดาห์เผยแผ่พระพุทธศาสนาวันวิสาขบูชา ณ ท้องสนามหลวง (กรุงเทพมหานคร) พุทธมณฑล (จังหวัดนครปฐม) หรือตามวัดในจังหวัดต่าง ๆ เป็นต้น

การจัดสร้างตราไปรษณียากรที่ระลึกวันวิสาขบูชาในประเทศไทย

นอกจากภาครัฐจะประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการและให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในวันวิสาขบูชาแล้ว ยังได้มีการจัดพิมพ์จำหน่ายตราไปรษณียกรที่ระลึกในวันวิสาขบูชาทุกปีอีกด้วย โดยจะให้วันวิสาขบูชาเป็นวันเริ่มจำหน่ายตราไปรษณียกร ซึ่งรูปแบบที่จัดพิมพ์ลงในตราไปรษณียกรที่ระลึกวันวิสาขบูชานั้น ส่วนใหญ่จะจัดพิมพ์เป็นรูปพระพุทธประวัติ พระพุทธรูป หรือพุทธสังเวชนียสถาน มีบ้างที่จัดพิมพ์เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ สำหรับใน พ.ศ. 2551 รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคม ได้ให้บริษัทไปรษณีย์ไทยจัดพิมพ์ตราไปรษณียกรที่ระลึกวันวิสาขบูชา เป็นรูปภาพสังเวชนียสถานพุทธคยา อันเป็นสังเวชนียสถานแห่งที่ 2 คือ รูปจิตรกรรมแบบไทยแสดงเหตุการณ์ตอนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ และรูป

พระมหาโพธิเจดีย์ พุทธคยา ขอบภาพด้านล่างมี คำว่า ประเทศไทย THAILAND วันวิสาขบูชา 2551 VISAKHAPUJA DAY 2008[65] ส่วนใน พ.ศ. 2552 จัดพิมพ์เป็นรูปสังเวชนียสถานแห่งที่ 3 คือ

พระธรรมเมกขสถูป ทรงบาตรคว่ำก่อด้วยหินทราย ที่สารนาถ สถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ โดยตราไปรษณียกรที่ระลึกวันวิสาขบูชาของประเทศไทยนั้น ทั้งหมดจะพิมพ์เป็นชนิดราคา 3 บาท มีราคาเดียวเท่านั้น

การจัดงานเฉลิมฉลองวิสาขบูชาในต่างประเทศ

ปัจจุบันวันวิสาขบูชาได้ถูกกำหนดให้เป็นวันสำคัญทางศาสนาหรือวันหยุดราชการในหลายประเทศ เช่น อินเดีย, ศรีลังกา, สิงคโปร์, ไทย, พม่า, บังคลาเทศ, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย (วันสำคัญ ไม่ใช่วันหยุดราชการ), เนปาล, เกาหลีใต้, กัมพูชา, ภูฏาน เป็นต้น

ในประเทศที่มีประชากรนับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทเช่นที่ศรีลังกาจะกำหนดวันทางจันทรคติตรงกันกับประเทศไทย คือกำหนดในวันเพ็ญเดือน 6 โดยงานวิสาขบูชาในศรีลังกานั้น ถือได้ว่าเป็นงานใหญ่ระดับประเทศ รัฐบาลประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ มีการปล่อยนักโทษให้ได้รับอิสรภาพถวายเป็นพุทธบูชา ตามบ้านเรือนจะมีการตั้งโรงทาน และประดับประดาธงทิว และโคมไฟต่าง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของศรีลังกา โดยจะทำเป็นรูปเรื่องราวในพุทธประวัติหรืออรรถกถาชาดกต่าง ๆ โดยงานวิสาขบูชาในศรีลังกานั้นจัดติดต่อกันถึง 7 วัน 7 คืน ซึ่งในประเทศไทยคงจัดงานวิสาขบูชาคล้ายกับศรีลังกา มีการประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการเช่นเดียวกัน แต่ต่างตรงที่ในปัจจุบันงานวิสาขบูชาในไทยที่จัดไม่ใหญ่โตมากนักเมื่อเทียบกับศรีลังกา แม้จะมีการจัดงาน 7 วัน 7 คืนเหมือนกัน แต่คงมีเฉพาะที่ส่วนกลาง คือที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวงและพุทธมณฑลเท่านั้น โดยพุทธศาสนิกชนชาวไทยส่วนใหญ่นิยมไปทำบุญในวันวิสาขบูชาเพียงวันเดียว

โคมไฟพุทธบูชาเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาของชาวศรีลังกา

สำหรับชาวพุทธ (มหายาน) เช่น ในประเทศสิงคโปร์ วันวิสาขบูชาได้ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการของประเทศ มีการจัดงานเฉลิมฉลองตามวัดพุทธต่าง ๆ โดยการกำหนดวันวิสาขบูชาของสิงคโปร์นั้นกำหนดตามปฏิทินเถรวาท แต่ในจีนเกาหลีและญี่ปุ่น จะกำหนดวันวิสาขบูชาแตกต่างจากประเทศพระพุทธศาสนาเถรวาทมาก เช่น ที่ประเทศญี่ปุ่น วันที่เกิดเหตุการณ์ประสูติ, ตรัสรู้ และปรินิพพานนั้น จะอยู่ต่างเดือนกัน เดิมญี่ปุ่นกำหนดว่าวันที่ 8 ของเดือนที่ 4 เป็นวันประสูติ วันที่ 8 ของเดือน 12 เป็นวันตรัสรู้ และวันที่ 15 เดือนที่ 2 เป็นวันปรินิพพาน โดยกำหนดวันตามเดือนในปฏิทินจันทรคติจีน จนมาในสมัยเมจิ ญี่ปุ่นได้รับคตินิยมปฏิทินสุริยคติจากประเทศตะวันตก จึงมี

การปรับเปลี่ยนให้กำหนดตามปฏิทินจันทรคติแทน เช่น วันปรินิพพาน จะอยู่ในวันที่ 15 กลางเดือนกุมภาพันธ์ ตามปฏิทินสุริยคติที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก โดยไม่อิงปฏิทินจันทรคติจีน ในปัจจุบันในประเทศญี่ปุ่น วันที่เกิดเหตุการณ์ประสูติ, ตรัสรู้ และปรินิพพาน ไม่ได้ถูกประกาศให้เป็นวันหยุดราชการ และไม่ได้รับความสนใจจากชาวญี่ปุ่นเท่าใดนัก เมื่อถึงวันนี้จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองโดยผู้ร่วมพิธีจะมีเพียงพระสงฆ์หรือชาวพุทธที่เคร่งครัด

วันวิสาขบูชาเคยถูกประกาศจากรัฐบาลห้ามจัดกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาโดยเด็ดขาดใ

เวียดนามใต้ เนื่องจากปัญหาความขัดแย้งของผู้ปกครอง (ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา) ที่นับถือศาสนาคริสต์ มีการปราบปรามพระพุทธศาสนาอย่างหนัก กิจกรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และผู้ฝ่าฝืนต้องได้รับโทษถึงจำคุก

ปัจจุบันหลังจากกรุงไซ่ง่อน เมืองหลวงของเวียดนามใต้ถูกเวียดกง (เวียดนามเหนือ) ตีแตก และเวียดนามเหนือใต้ได้รวมเป็นประเทศเดียวกัน พระพุทธศาสนาก็ยังไม่ได้รับการฟื้นฟูเท่าใด ในปัจจุบันยังคงมีการจัดงานวิสาขบูชาบ้างจากชาวพุทธเวียดนาม ซึ่งเป็นงานที่ไม่ใหญ่โตเหมือนประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท

ในประเทศอินโดนีเซีย ที่ปัจจุบันเป็นประเทศที่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามมากที่สุด ก็ได้ให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชามาก เพราะเดิมนั้นพระพุทธศาสนาเคยเป็นศาสนาที่ชาวชวาหรืออินโดนีเซียนับถือมากที่สุด งานวิสาขบูชาในสมัยที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองคงเป็นพิธีใหญ่ แต่หลังพระพุทธศาสนาเสื่อมลงเนื่องจากการการเสื่อมของราชวงศ์ไศเลนทร์ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่นับถือพระพุทธศาสนา ผู้ปกครองต่อมาได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม งานวิสาขบูชาจึงไม่มีผู้สืบทอด ในปัจจุบันเริ่มมีการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย รัฐบาลเริ่มให้ความสำคัญกับชาวพุทธ โดยรัฐบาลประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ ซึ่งชาวพุทธส่วนใหญ่ในอินโดนีเซียนั้นเป็นคนอินโดนีเซียเชื้อสายจีนที่นับถือมหายาน ซึ่งมีชาวอินโดนีเซียส่วนหนึ่งที่นับถือพุทธศาสนาแบบเถรวาท การจัดงานวิสาขบูชาในระยะหลังจึงเป็นงานใหญ่ โดยศูนย์กลางจัดงานอยู่ที่พระมหาสถูปบุโรพุทโธ เกาะชวา ทุกปีประธานาธิบดีแห่งอินโดนีเซียจะมาเป็นประธานเปิดงาน โดยเชิญผู้นำชาวพุทธจากทั่วโลกมาร่วมงาน

การกำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก

การกำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก เริ่มต้นขึ้นจากการที่ผู้แทนจากประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาพุทธ คือ บังคลาเทศ จีน ลาว เกาหลีใต้ เวียดนาม ภูฎาน อินโดนีเซีย เนปาล กัมพูชา อินเดีย ปากีสถาน และไทย ได้มีมติร่วมกันที่จะเสนอให้สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติประกาศรับรองข้อมติกำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดของสหประชาชาติ ในการประชุมพุทธศาสนาระหว่างประเทศ (International Buddhist Conference) ณ กรุงโคลัมโบ เมืองหลวงของประเทศ

ศรีลังกา ระหว่างวันที่ 9-14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 ต่อมา คณะทูตถาวรศรีลังกาประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก จึงได้จัดเตรียมร่างข้อมติ และได้ขอเสียงสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ เพื่อให้มีการรับรองข้อมติเรื่องการประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดของสหประชาชาติในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 55 แต่คณะผู้แทนจากศรีลังกาเปลี่ยนเสนอให้ประกาศวันวิสาขบูชาเป็น "วันสำคัญสากล" แทน เนื่องจากวันหยุดของสหประชาชาติมีมากแล้ว และจะกระทบต่อการดำเนินงานของสหประชาชาติ และได้ดำเนินการให้คณะผู้แทนถาวรประจำสหประชาชาติจำนวน 16 ประเทศ คือ ศรีลังกา บังคลาเทศ ภูฎาน กัมพูชา ลาว มัลดีฟส์ มองโกเลีย พม่า เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ สเปน อินเดีย ไทย และยูเครน ให้ร่วมลงนามในหนังสือถึงประธานที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เพื่อนำเรื่องนี้เข้าสู่ระเบียบวาระของการประชุมใหญ่ฯ จนเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2542 ที่ประชุมใหญ่สมัชชาแห่งสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 55 จึงได้พิจารณาระเบียบวาระที่ 174 ว่าด้วยการยอมรับวันวิสาขบูชาในระดับสากล (International recognition of the Day of Visak) โดยการเสนอของศรีลังกา ประธานที่ประชุมได้ให้ผู้แทนจาก

ศรีลังกาเสนอร่างข้อมติ และเชิญให้ผู้แทนจาก ไทย สิงคโปร์ บังคลาเทศ ภูฎาน สเปน พม่า เนปาล ปากีสถาน อินเดีย ขึ้นแถลง สรุปความได้ว่า

"วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้มวลมนุษย์มีเมตตาธรรมและขันติธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม อันเป็นแนวทางของสหประชาชาติ จึงขอให้ที่ประชุมรับรองข้อมตินี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรองความสำคัญของพุทธศาสนาในองค์การสหประชาชาติ โดยถือว่าวันดังกล่าวเป็นที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติและที่ทำการสมัชชาจะจัดให้มีการระลึกถึง (observance) ตามความเหมาะสม"

นายวรวีร์ วีรสัมพันธ์ อุปทูตคณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ได้ให้เหตุผลในถ้อยแถลงมีใจความตอนหนึ่งว่า "องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และทรงสั่งสอนทุกคนโดยใช้ปัญญาธิคุณ โดยไม่คิดค่าตอบแทน"

ในที่สุด องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็น "วันสำคัญสากล" (ด้วยชื่อวันว่า "Vesak") โดยการเสนอของประเทศศรีลังกาดังกล่าว ด้วยมติเอกฉันท์ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2542

กิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติในวันวิสาขบูชา

ในวันวิสาขบูชานี้ ถือเป็นวันสำคัญยิ่งที่ชาวพุทธทั่วโลกจะมารวมกันจัดพิธีทำบุญใหญ่หรือจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อบำเพ็ญกุศลระลึกถึงพระพุทธเจ้า] ซึ่งในฐานะที่วันวิสาขบูชาได้รับการยกย่องให้เป็นวันสำคัญสากลของโลก เมื่อถึงวันวิสาขบูชา องค์การสหประชาชาติจะมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อรำลึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย เช่น สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีการอัญเชิญพระเจดีย์วิสาขบูชานุสรณ์ สกลโลกประกาศบูชาวันวิสาขะ (ภายในประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ) ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติเป็น

การถาวร มาประดิษฐานให้ประชาชนสักการบูชา เป็นต้น

สำหรับในประเทศไทย นอกจากพุทธศาสนิกชนจะเข้าวัดบำเพ็ญบุญกุศลถือศีลฟังธรรมแล้ว ยังนิยมปล่อยนกปล่อยปลา และเวียนเทียนรอบพระอุโบสถในตอนค่ำเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาด้วย

วันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนชาวไทยนิยมทำบุญตักบาตรในตอนเช้า และตลอดวันจะมีการบำเพ็ญบุญกุศลความดีอื่น ๆ เช่น ตั้งใจรักษาศีล 5 ศีล 8 งดเว้นการทำบาปทั้งปวง ทำบุญถวายสังฆทาน ให้อิสระทาน (ปล่อยนกปล่อยปลา) ฟังพระธรรมเทศนา และไปเวียนเทียนรอบโบสถ์ในเวลาเย็น โดยก่อนทำการเวียนเทียนพุทธศาสนิกชนควรร่วมกันกล่าวคำสวดมนต์และคำบูชาในวันวิสาขบูชา โดยปกติตามวัดต่าง ๆ จะจัดให้มีการทำวัตรสวดมนต์ก่อนทำการเวียนเทียน ซึ่งส่วนใหญ่นิยมทำการเวียนเทียนอย่างเป็นทางการ (โดยมีพระภิกษุสงฆ์นำเวียนเทียน) ในเวลาประมาณ 20 นาฬิกา โดยบทสวดมนต์ที่พระสงฆ์นิยมสวดในวันวิสาขบูชาก่อนทำการเวียนเทียนนิยมสวด (ทั้งบาลีและคำแปล) ตามลำดับดังนี้

1.บทบูชาพระรัตนตรัย (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:อรหัง สัมมา ฯลฯ)

2.บทนมัสการนอบน้อมบูชาพระพุทธเจ้า (นะโม ฯลฯ 3 จบ)

3.บทสรรเสริญพระพุทธคุณ (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:อิติปิโส ฯลฯ)

4.บทสรรเสริญพระพุทธคุณ สวดทำนองสรภัญญะ (บทสวดสรภัญญะที่ขึ้นต้นด้วย:องค์ใดพระสัมพุทธ ฯลฯ)

5.บทสรรเสริญพระธรรมคุณ (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:สวากขาโต ฯลฯ)

6.บทสรรเสริญพระธรรมคุณ สวดทำนองสรภัญญะ (บทสวดสรภัญญะที่ขึ้นต้นด้วย:ธรรมมะคือ คุณากร ฯลฯ)

7.บทสรรเสริญพระสังฆคุณ (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:สุปฏิปันโน ฯลฯ)

8.บทสรรเสริญพระสังฆคุณ สวดทำนองสรภัญญะ (บทสวดสรภัญญะที่ขึ้นต้นด้วย:สงฆ์ใดสาวกศาสดา ฯลฯ)

9.บทสวดบูชาเนื่องในวันวิสาขบูชา (บทสวดบาลีที่ขึ้นต้นด้วย:ยะมัมหะ โข ฯลฯ)[47]

จากนั้นจุดธูปเทียนและถือดอกไม้เป็นเครื่องสักการบูชาในมือ แล้วเดินเวียนรอบปูชนียสถาน 3 รอบ โดยขณะที่เดินนั้นพึงตั้งจิตให้สงบ พร้อมสวดระลึกถึงพระพุทธคุณ ด้วยการสวดบทอิติปิโส (รอบที่หนึ่ง) ระลึกถึงพระธรรมคุณ ด้วยการสวด สวากขาโต (รอบที่สอง) และระลึกถึงพระสังฆคุณ ด้วยการสวด สุปะฏิปันโน (รอบที่สาม) จนกว่าจะเวียนจบ 3 รอบ จากนั้นนำธูปเทียนดอกไม้ไปบูชาตามปูชนียสถานจึงเป็นอันเสร็จพิธี

นอกจากนี้แล้ว พระสงฆ์ผู้จัดรายการธรรม ทางสถานีวิทยุ เกือบทุกรายการทั่วประเทศเมื่อถึงสำคัญ คือวันวิสาขบูชาเช่นนี้ ก็มีการประชาสัมพันธ์เชิญชวนพุทธศาสนิกชนบำเพ็ญกุศล เป็นกรณีพิเศษ คือ บรรพชาอุปสมบทนาคหมู่ และบวช เนกขัมมะ เพื่อปฎิบัติธรรมถวายเป็นพุทธบูชะ ธรรมบูชา เป็นการช่วยสนับสนุน ส่งเสริม สร้างความสงบสุขให้แก่บุคคลและสร้างความสามัคคีธรรมให้แก่สังคม ตลอดถึงประเทศชาติอีกด้วย

สรุปแล้ววันวิสาขบูชา คือวันเพ็ญเดือน 6 หรือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 เรียกว่า “วิสาขปุรณมี” มีความสำคัญอย่างยิ่งในทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรมศาสดาพระพุทธศาสนา ศาสดาเอกของโลก เมื่อวันวิสาขบูชาเวียนมาบรรจบในแต่ละปี พุทธศาสนิกชน ก็จะร่วมกันบำเพ็ญกุศล เวียนเทียน เข้าวัด ปฏิบัติธรรม ทำบุญตักบาตรสำหรับในปี 2558 นี้ กระทรวงวัฒนธรรมรณรงค์ให้พุทธศาสนิกชนทั่วประเทศ แต่งกายชุดขาว เข้าวัด ทำบุญ ตักบาตร ปฏิบัติธรรม ถือศีลห้า ส่วนกิจกรรมซึ่งจัดที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ที่เต็นท์

จริยศึกษา มีการประกวดการสวดมนต์หมู่ทำนองสรภัญญะ การประกวดบรรยายธรรม วาดภาพตัวละครเมืองนิรมิตจิตตนคร ประกวดสุนทรพจน์ การจัดนิทรรศการ “วิสาขปุรณมี สืบสานพระพุทธศาสนา” นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับ ขสมก.จัดรถบริการเพื่อเชิญชวนให้พุทธศาสนิกชนไหว้พระ 9 วัด สืบสิริสวัสดิ์ 9 รัชกาล ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดอรุณราชวราราม

วัดราชโอรส วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดสุทัศนเทพวราราม วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก พร้อมรับใบโพธิ์จากประเทศอินเดีย ที่เต็นท์จริยศึกษาส่วนศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา แห่งประเทศไทยในพระสังฆราชู

ปถัมภ์ จัดกิจกรรมเวียนเทียนรอบองค์พระบรมสารีริกธาตุที่ได้อัญเชิญจากพระบรมมหาราชวัง ทั้งเป็นปีแรกที่จะมีการถวาย ดอกมณฑารพ เป็นพุทธบูชา ซึ่งทางศูนย์ส่งเสริมฯจะมีการจัดเตรียมไว้ให้ครับ สำหรับ ดอกมณฑารพ หรือ มณฑา นั้น เป็นวงศ์เดียวกับพวกจำปา จำปี และยี่หุบ ดอกมีขนาดใหญ่ มีสีเหลืองนวล เชื่อกันว่าเป็น ดอกไม้ทิพย์แห่งเมืองสวรรค์ ขณะที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม จัดกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 28 พ.ค.-1 มิ.ย.58 ได้แก่ การปฏิบัติธรรม นิทรรศการทางวิชาการเกี่ยวกับวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา สำหรับวันที่ 1 มิ.ย.58 มีพิธีตักบาตรพระสงฆ์ 1,987 รูป และพิธีเวียนเทียน ส่วนที่

วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร ซึ่งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ มีกิจกรรมวันวิสาขบูชา โดยเปิดให้เวียนเทียนตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน เปิดให้เคารพสักการะมงคลสถานต่างๆภายในวัด ทั้งหลวงพ่อพระเสริม

พระสายน์ พระแสน พระบรมสารีริกธาตุ และต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทั้งยังมีกิจกรรมเจริญจิตภาวนา สดับพระธรรมเทศนา พระปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในส่วนของภาคเอกชน ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ ทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะสาขานครราชสีมา ก็จัดงานวิสาขบูชา พุทธบารมี งานบุญยิ่งใหญ่ สุขใจใกล้ธรรม ระหว่างวันที่ 9 พฤษภาคม -9 มิถุนายน 2558 ซึ่งจัดติดต่อกันมาเป็นปีที่ 9 แล้ว อิ่มบุญด้วยการฟังธรรมบรรยายทุกวันและชมนิทรรศการ ณ เอ็ม.ซี.ซี.ฮอลล์ ชั้น 3 ดังนั้น พุทธศาสนิกชนจึงสามารถเลือกไปร่วมกิจกรรมทำบุญได้ตามความเหมาะสม.

บรรณานุกรม

ธรรมะไทย (2558). วันวิสาขบูชา . [ออนไลน์]..สืบค้นเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 จาก

เว็บไซต์ http://www.dhammathai.org/day/visaka.php.

ธรรมกาย .(2558). วันวิสาขบูชา 2558 ประวัติวันวิสาขบูชา. [ออนไลน์]. สืบค้นเมื่อวันที่ 31

พฤษภาคม 2558 จากเว็บไซต์ http://www.dmc.tv/pages/buddha

_biography/Vesak_Day_Lord_Buddha_Day.html

พี่ม้ามังกร. (2558). วิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก. จากเว็บไซต์

http://www.thairath.co.th/content/502034 (หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์)

สืบค้นเมื่อวันที่ที่ 1 มิถุนายน 2558

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (2557). วันวิสาขบูชา. [ออนไลน์] สืบค้นจากเว็บไซต์ .
http://th.wikipedia.org/wiki/%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25A7%25E0%2... เมื่อ
วันที่ 31 พฤษภาคม 2558

สนุก ออนไลน์ จำกัด. (2558). ประวัติ และความหมาย ของวันวิสาขบูชา. [ออนไลน์].0นไลน์ล ก 31

มา เขต 4

สืบค้นเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 จาก เว็บไซต์ http://visaka.sanook.com/

หมายเลขบันทึก: 599112เขียนเมื่อ 3 มกราคม 2016 23:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 มกราคม 2016 23:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท