จากการที่ปัจจุบันเราจะเห็นว่า มีผู้ที่จัดอบรมการค้าออนไลน์ไปยังตลาดต่างประเทศอยู่ดาดดื่น แต่ละรายดูเหมือนจะรับรองการรันตีความร่ำรวย หากทำการค้าผ่านช่องทางเหล่านี้ โดยที่ส่วนใหญ่จะล่อด้วยการอบรมฟรี หรือเก็บเบื้องต้นในราคาถูกก่อน แล้วจะต้องไปต่อด้วยค่าอบรมที่แพงขึ้นอย่างมาก หากถึงจะมีค่าอบรมที่แพงแต่แรงจูงใจที่ว่าทำแล้วรวยแน่ และข่าวสารการเติบโตในอัตราสูง อย่างต่อเนื่อง ของตลาดออนไลน์ จึงทำให้ผู้เขียนเอง และอีกหลายท่านอาจเคยเป็นหนึ่งในผู้ที่สนใจมาแล้วบ้าง (?)
ดังนั้นรูปแบบของการค้าระหว่างประเทศที่ต้องการกล่าวถึงด้วย และกำลังเป็นอีกช่องทางที่ได้รับความนิยม ด้วยพฤติกรรม life style หรือรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ก็คือการค้าออนไลน์ที่มีมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆปีนั่นเอง นอกจากปริมาณที่เพิ่มขึ้นของแต่ละตลาดเอง ยังมีการเจริญเติบโตในแง่พื้นที่เข้าไปในตลาดใหม่ๆ พร้อมๆกับการขยายการพัฒนาด้านโครงข่ายอินเทอร์เนต จะเห็นว่าเป็นอัตราการเติบโตที่สวนทางกับการส่งออกในรูปแบบปกติที่เป็น Wholesales ที่ปัจจุบันตัวเลขจากกรมเศรฐกิจการค้าบอกว่ายอดส่งออกของไทย ติดลบอยู่ประมาณ 5% (ตค 58)
ทั้งนี้ส่วนใหญ่การค้าออนไลน์จะเป็นรูปแบบการค้าปลีก ซึ่งหลายท่านอาจเคยเห็นที่เขาเรียกว่าเป็น B to C (Business to Consumer) คือการขายตรงไปที่ตัวผู้บริโภค หากเราอยู่ในรูปแบบองค์กรหรือบริษัท ส่วนใหญ่ที่เข้าข่ายนี้จะเป็นการค้าออนไลน์ในประเทศมากว่าการส่งออก เช่น Central Online, Lazada เป็นต้น แต่ที่ขายผ่านออนไลน์ไปต่างประเทศที่เราจะพูดถึงคือในแง่การส่งสินค้าออกไปยังผู้บริโภคในตลาดต่างประเทศ ผู้ขายในไทยส่วนใหญ่ยังเป็นบุคคลธรรมดามากว่า ดังนั้นที่ถูกต้องสำหรับคำจำกัดความในส่วนนี้จึงน่าจะเป็น S to C (Seller to Consumer) โดยใช้พื้นที่ขายหรือหน้าร้านออนไลน์อยู่ในต่างประเทศ ที่ท่านอาจคุ้นเคยหรือเคยซื้อของกับเขาแล้วบ้างก็เช่น Amazon, หรือ E Bay ของสหรัฐอเมริกา ประเทศที่นับว่ามีการพัฒนาการค้าออนไลน์เป็นประเทศแรกๆ และมีขนาดตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ มีมูลค่าการค้ามาก มีอีกตลาดที่อยากจะกล่าวถึงของเอเชียคือ Alibaba ซึ่งแรกๆ เขาจะมุ่งเน้นในการขาย Wholesales หรือขายส่ง โดยช่วงนั้นได้โโปรโมทในงานแสดงสินค้าที่ Hong Kong และงานใหญ่ๆในประเทศจีนเช่น Canton Fair แต่หลังจากพื้นฐานของโครงข่ายอินเทอร์เนตเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น การขยายการค้าที่เป็นค้าปลีกก็ตามมาคู่กัน ในปัจจุบัน ผู้ก่อตั้ง Alibaba อย่าง Jack Ma อดีตครูสอนภาษาอังกฤษจึงเป็นผู้โด่งดัง และเป็นแรงบันดาลใจของผู้ค้าออนไลน์ยุคใหม่ ทีนี้มาดูกันว่าหากท่านต้องการเป็นผู้ค้าผ่านช่องทางออนไลน์บ้างหล่ะ ท่านจำเป็นมากน้อยแค่ไหนในการที่ต้องจ่ายค่าอบรมการค้าออนไลน์อยู่ดาดดื่นในราคาแพง มาดูขั้นตอนการเข้าเป็นผู้ค้ากับตลาดเหล่านั้นบ้าง ขั้นตอนก็ดังนี้…
ที่สำคัญที่สุดที่อยากย้ำก็คือการโต้ตอบกับลูกค้าสำหรับไม่ว่าจะ online หรือ off line ก็ตามผู้ขายต้องมีความรวดเร็ว ถูกต้อง อาจมีกรณีที่เราอาจโต้ตอบด้วยความคลาดเคลื่อนไปบ้าง ก็ต้องมีการกล่าวขอโทษและแก้ไขข้อมูลอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ท่านจะต้องมีทักษะในภาษาอังกฤษระดับหนึ่ง ที่พูดว่าระดับหนึ่งนั้นคืออาจไม่ถึงกับให้ถูกต้องตาม Tense หรือ Gramma แต่ต้องอย่างน้อยได้ความหมาย เพราะปัจจุบันมีผู้ค้าหลายรายที่ไม่ได้ชำนาญภาษามากแต่เรียกว่าผลงานเป็นที่น่าพอใจก็มีอยู่มากเช่นกัน แต่ทั้งนี้ที่ปรึกษาเองไม่แนะนำให้ใช้ Google Translate เพราะเครื่องมือนี้ยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก มีความเสี่ยงเรื่องการผิดความหมายที่แท้จริงอยู่มาก ส่วนการเป็นผู้ส่งออกในช่องทางเดิมๆที่ต้องพบปะเจรจาเป็นแบบ B to B (Business to Business) หรือในฐานะผู้ส่งออกปกติที่เป็น Wholesales ที่จะต้องมีความชำนาญด้านภาษาในระดับดี เพราะเงื่อนไขการค้า กระบวนการการผลิต กระบวนการค้าที่ยาวนานกว่าจะสรุป Order ได้ กว่าจะส่งของได้ จะต้องมีการสื่อสารกันเรียกว่าเกือบทุกวัน ไม่เหมือนการค้าออนไลน์ ที่ปริมาณการสื่อสารน้อยกว่า บางที่ก็ไม่ต้องสื่อสารหากสินค้ามีคำอธิบายชัดเจน ลูกค้าก็สามารถเลือกสินค้า ทำการชำระเงิน แล้วรอรับสินค้าได้เลย
และข้อดีอีกอย่างสำหรับผู้ค้าออนไลน์คือเราอาจเป็นแค่ผู้ซื้อมาขายไป (Trader) ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ผลิต ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ค้าในรูปแแบนี้ก็อยู่ในรูปแบบนี้คือเป็น trader กัน มันอยู่ที่ว่าการเลือกสินค้าให้ตรงใจกับตลาดจะทำอย่างไร ก็เป็นหน้าที่ที่ผู้ค้าต้องมีการสำรวจตลาดกันบ้างว่าสินค้าใดเป็นที่นิยม ราคาที่ขายอยู่ในช่วงไหนถึงจะขายได้ ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ต่างกับผู้ค้า off line ที่ต้องทำการสำรวจเบื้องต้นเช่นกัน และที่สำคัญต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบในคุณภาพของสินค้าต่อผู้บริโภค จะต่างจากการสำรวจของผู้ส่งออกปกติก็แหล่งที่จะต้องสำรวจ ในแง่ออนไลน์นั้นเครื่องมือ หรือแหล่งที่จะสำรวจจะมีอยู่เยอะและเข้าถึงได้ง่าย หลักๆก็เช็คในอินเทอร์เนตนั่นเองที่จะมีผู้ให้บริการข้อมูลอยู่หลายๆที่ ผู้ค้าก็ต้องค่อยๆศึกษาว่าจะมีไหนบ้าง แล้วในระหว่างการเป็นผู้ค้าก็ต้องมาการปรับตัวไปเรื่อยๆกับข้อมูลเหล่านั้น ในด้านการหาสินค้าไปลงขายให้ตรงความต้องการของตลาด ให้ได้ราคาที่ใช่ หรือหากลุ่มเป้าหมายให้เจอ กรณีหลังหมายความว่าอาจเป็นสินค้า Niche ก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็น Mass หรือกลุ่มที่เป็นที่นิยม เพราะหากลุ่มเป้าหมายเจอแล้ว ขณะที่ Supply ในตลาดนั้นเองมีน้อยโอกาสของเราย่อมมากได้นั่นเอง
ดังนั้นต่อคำถามที่ว่าท่านจำเป็นหรือไม่ที่ต้องจ่ายค่าอบรมราคาแพงๆในเบื้องต้นเลย กับผู้ที่ทำการเปิดอบรมที่โฆษณากันทางอินเทอร์เนตในการที่จะเป็นผู้ค้าออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จนั้น ท่านต้องพิจารณาจากพื้นฐานตนเองก่อน เบื้องต้นของการประเมินตัวเอง อาจเริ่มจากคำถามเหล่านี้…
หลังการตอบคำถามเหล่านี้ ท่านก็จะสามารถประเมิน และตอบตนเองได้ว่าหากต้องการเป็นผู้ค้าออนไลน์จริงๆ ท่านจำเป็นต้องจ่ายค่าเรียน ค่าอบรมเพิ่มหรือไม่นั่นเอง และหากพื้นฐานท่านห่างมากกับการที่จะเป็นผู้ค้าออนไลน์ และมีความจำเป็นต้องจ่ายค่าเรียนค่าอบรมจริงๆแล้ว ขอแนะนำให้ท่านเข้าอบรมฟรีก่อน ซึ่งจะมีอยู่หลายๆที่ แล้วเริ่มฝึกฝนตัวเองไปด้วยอาจเริ่มจากการค้าออนไลน์ในประเทศ ที่มีทั้งร้านค้าฟรี และที่อัตรารายปีไม่แพงเหมือนของต่างประเทศเช่น เทพช้อบ ตลาดดอทคอม เป็นต้น พอเริ่มคุ้นเคยกับระบบการค้าออนไลน์ในประเทศ แล้วค่อยขยับออกไปต่างประเทศ ด้วยวิธีนี้ท่านก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสียค่าอบรมแพงๆ เพราะถือว่าท่านเรียนรู้ฝึกฝนตนเองอยู่เรื่อยๆ ซึ่งผู้ให้การอบรมอยู่เหล่านั้นก็ผ่านวิธีการ learning by doing นี้มาเช่นกัน จนพวกเขาชำนาญ สามารถนำมาเปิดสอนได้ ซึ่งการเรียนรู้ด้วยตนเองไม่ใช่สิ่งที่เกินความสามารถแต่อย่างใด มีทั้งผู้ที่ post ไว้บ้างใน Youtube
สุดท้ายการทำกิจการงานใดๆ ก็ขึ้นอยู่ที่ความตั้งใจจริง ความมุ่งมั่นที่จะศึกษา ฝึกฝน การช่างสังเกตด้วยกันทั้งนั้น รวมทั้งหมั่นแสวงหาข้อมูลและความรู้ที่ปัจจุบันสามารถเข้าถึงได้ง่าย สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้เรามีความรู้ ความชำนาญมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะต้องจ่ายเงินเพื่อการศึกษาเพิ่มเติม กับแหล่งอบรมโดยตรง ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายในปริมาณมากนั่นเอง
หวังว่าผู้เริ่มต้นใหม่จะได้แนวทางบ้างไม่มากก็น้อย ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านประสบความสำเร็จไม่ว่าท่านอยากจะเป็นผู้ค้า online หรือ off line และขอให้มีความสุขในวันจันทร์ วันแรกของอาทิตย์นี้ นะคะ
ไม่มีความเห็น