นางสาวณัฎฐา ม้วนสุธา
พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
นักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสังคมวิทยา
มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตศรีธรรมาโศกราช
สังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่ต้องดิ้นรน ต่อสู้ และมีการแข่งขันสูงทำให้ผู้คนลืมที่จะใส่ใจในวิถีชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องการกินอยู่มนุษย์ได้คิดค้นเทคโนโลยีขั้นสูงมากมายเพื่ออำนวยความสะดวก และ ความสุขสบายความมั่งคั่งให้แก่ตนเอง จนกระทั่งแยกตนเองออกจากธรรมชาติ ไม่ไว้ใจธรรมชาติปรับปรุงเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ โดยหวังว่าจะให้ตนเองชนะและอยู่เหนือธรรมชาติพัฒนาด้านวัตถุอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มองออกนอกตนเอง การกินอยู่เปลี่ยนไปครอบครัวต่างคนต่างไป พัฒนาไปสู่ระบบบริโภคนิยม ยึดติดในรูป เสียง กลิ่น รสสัมผัส อย่างถอนตัวไม่ขึ้นจึงนำพาให้มนุษย์สมัยใหม่ต้องเผชิญหน้ากับความเสื่อมถอยของสุขภาพทางกาย ใจอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้ ทำให้สภาพปัญหาเกี่ยวกับภาวะสุขภาพก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไป เกิดแบบแผนการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต ซึ่งมีการเปลี่ยนจากโรคติดต่อมาเป็นโรคไม่ติดต่อ ซึ่งโรคดังกล่าวเกิดจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม ตัวอย่างเช่นโรค เบาหวาน/ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ มะเร็ง ฯลฯ และจากผลการสำรวจสุขภาพคนไทยโดยการตรวจร่างกาย (สถิติสาธารณสุข, 2557 ) พบว่าประชากรไทยมักไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคเรื้อรัง(กลุ่มโรคไม่ติดต่อ) หรือกลุ่มที่รู้ว่าเป็นโรคเรื้อรังนั้นส่วนใหญ่ยังไม่สามารถควบคุมอาการและ ดูแลรักษาตนเองได้อย่างถูกต้อง ซึ่งภาวะดังกล่าว มักนำมาซึ่งภาวะทุพพลภาพในที่สุด ทำให้มีภาวะพึ่งพิงในการดำรงชีวิต และต้องการได้รับการดูแลจากบุคคลในครอบครัวหรือสังคมต่อไป และเมื่อเกิดภาวการณ์เจ็บป่วย คนเราส่วนใหญ่มักจะไปหาแพทย์เพื่อให้หายจากความเจ็บป่วย และเมื่อพูดถึงเรื่องสุขภาพและความเจ็บป่วยคนส่วนมากก็มักจะนึกถึงแพทย์ โรงพยาบาล รวมทั้งมีภาพของเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องมือวัดระดับความดันโลหิต หูฟังการเต้นของหัวใจ เป็นต้น นอกจากนั้นเมื่อพูดถึงความเจ็บป่วย คนส่วนมากมักรับรู้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะกับบุคคล เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของบุคคลที่เจ็บป่วย เป็นผลของการกระทำหรือที่เกี่ยวกับเฉพาะบุคคลนั้น เช่น เป็นความโชคร้ายของบุคคลที่ป่วย เป็นผลกรรมที่ทำมาจากการกระทำของบุคคลนั้นทั้งในชาตินี้หรือชาติก่อน หรือเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมของบุคคลนั้นๆ หรือเฉพาะในครอบครัวนั้นๆ และเมื่อคนเราเจ็บป่วย เรามักต้องการให้ความเจ็บป่วยนั้นหายโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่สุขภาพมิใช่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบุคคลนั้น หากสุขภาพและความเจ็บป่วยเป็นเรื่องทางสังคม เป็นประสบการณ์ทางสังคมมากเท่าๆ กับเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคล
ความหมายของคำว่า สุขภาพ
มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายเกี่ยวกับสุขภาพไว้ โดยมีรายละเอียดที่สำคัญพอสรุปได้ดังนี้
1. คำว่า “สุขภาพ” มากจากภาษาอังกฤษ“health” ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาเยอรมันว่า“health” มีความหมาย 3 ประการคือความปลอดภัย(safe) ไม่มีโรค (sound) หรือทั้งหมด (whole)ในพจนานุกรมออกซ์ฟอร์ดจึงให้ความหมายของhealthว่าความไม่มีโรคทั้งร่างกายและจิตใจ (วิฑูรย์อึ้งประพันธ์, 2541) อย่างไรก็ตามในระยะต่อมานักวิชาการทั้งหลายรวมทั้งองค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมายของสุขภาพแตกต่างกันไปซึ่งความหมายของสุขภาพที่แตกต่างกันนี้จะนำไปสู่เป้าหมายและวิธีการกระทำเพื่อสุขภาพแตกต่างกันได้
2. สุขภาพ( องค์กรอนามัยโลก,2491)คือสภาวะแห่งความสมบูรณ์ของร่างกายและจิตใจรวมถึงการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุขและมิได้หมายความเฉพาะเพียงแต่การปราศจากโรคและทุพพลภาพเท่านั้น
3. สุขภาพ(พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ, 2545)คือ ภาวะที่มีความพร้อมสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย คือร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง คล่องแคล่ว มีกำลัง ไม่เป็นโรค ไม่พิการไม่มีอุบัติเหตุอันตราย มีสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมสุขภาพ
4. สุขภาพ (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, 2557)หมายถึงระดับของประสิทธิภาพเชิงการทำงานหรือเชิงเมตาบอลิกของสิ่งมีชีวิตสำหรับมนุษย์นั้นโดยทั่วไปและตามนิยามขององค์การอนามัยโลกหมายถึงสภาวะอันสมบูรณ์ของภาวะทางกาย จิต จิตวิญญาณ และสังคมของบุคคลอันมิได้หมายถึงความปราศจากโรคหรือความบกพร่องเพียงอย่างเดียวแม้นิยามนี้จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์โดยเฉพาะในประเด็นของความไม่มีตัวชี้วัดที่ชัดเจนหรือประเด็นปัญญาที่ตามมาจากการใช้คำว่า "สมบูรณ์" ก็ตามแต่ก็ยังเป็นนิยามที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดอยู่ ระบบจำแนกประเภทต่างๆเช่น Family of International Classifications ขององค์การอนามัยโลกซึ่งประกอบด้วย International Classification of Functioning, Disability and Health (ICF) และ International Classification of Diseases (ICD) เป็นเกณฑ์ที่เป็นที่นิยมใช้มากที่สุดในการนิยามและวัดองค์ประกอบของสุขภาพ
5. สุขภาพ(พรบ.สุขภาพแห่งชาติ , 2555 )หมายถึงภาวะของมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งทางกายทางจิตทางปัญญาและทางสังคมเชื่อมโยงกันเป็นองค์รวมอย่างสมดุล
ดังนั้น "สุขภาพ"จึงหมายถึง "การมีร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บในทุกส่วนของร่างกาย มีสุขภาพจิตดีและสามารถปรับตัวให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติสุขผู้มีสุขภาพดีถือว่าเป็นกำไรของชีวิตเพราะทำให้ผู้เป็นเจ้าของชีวิตดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขได้"นั่นเอง
แนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพ
สมิธ(Smith, 1983 อ้างใน สมจิตหนุเจริญกุล, 2543) ได้วิเคราะห์แนวคิดของสุขภาพที่มีอยู่โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงปรัชญาพบว่ามี 3 แนวคิด คือ
1. แนวคิดทางด้านคลินิก (Clinical model)ในแนวคิดนี้ให้ความหมายเกี่ยวกับสุขภาพ ว่าเป็นภาวะที่ปราศจากอาการและอาการแสดงของโรคหรือปราศจากความพิการต่าง ๆ ส่วนความเจ็บป่วยหมายถึงการมีอาการและอากรแสดงหรือมีความพิการเกิดขึ้นความหมายของสุขภาพเช่นนี้ถือว่าเป็นความหมายที่แคบที่สุดและเน้นการรักษา เสถียรภาพ (Stability) ทางด้านสรีรภาพถ้าใช้ความหมายของสุขภาพดังกล่าวเป็นเป้าหมายจะนำไปสู่การบริการสุขภาพเชิงรับคือรอให้ประชาชนเกิดอาการและอาการแสดงของโรคและความพิการเท่านั้นซึ่งทำให้การส่งเสริมสุขภาพและ ป้องกันโรคเกิดได้น้อยมากและไม่มีแนวทางในการปฏิบัติแพทย์จะมีบทบาทเด่นในระบบบริการสุขภาพเจ้าหน้าที่สุขภาพอื่น ๆและประชาชนจะมีบทบาทน้อยมากเพราะถือว่าสุขภาพเป็นเรื่องของแพทย์เรื่องของโรงพยาบาล
2. แนวคิดการปฎิบัติตามบทบาท (Role performance model)ความหมายของสุขภาพในแนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลมาจากนักสังคมวิทยาซึ่งสนใจเกี่ยวกับบทบาทของบุคคลในสังคมเป็นหลัก
คำว่าสุขภาพจึงหมายถึงความสามารถของบุคคลในการกระทำตามบทบาทที่สังคมกำหนดไว้ครบถ้วนเช่นความสามารถในการทำงานเป็นต้นส่วนความเจ็บป่วยหมายถึงความล้มเหลวในการทำหน้าที่ตามบทบาทเมื่อเจ็บป่วยบุคคลสามารถหยุดกระทำในบทบาทต่างๆ ได้เช่นหยุดงานนอนพัก เป็นต้นความหมายของสุขภาพตามแนวคิดนี้ได้เพิ่มมาตรฐานทางด้านจิตสังคมคือไม่เพียงแต่ปราศจากอาการและอาการแสดงของโรคเท่านั้นแต่ต้องสามารถทำหน้าที่ตามบทบาททางสังคมด้วยและยังคงเน้นการรักษาเสถียรภาพแต่เป็นเสถียรภาพทางสังคมซึ่งยังถือว่าเป็นเป้าหมายทางด้านสุขภาพที่แคบและนำไปสู่การบริการสาธารณสุขในเชิงรับเช่นกัน
3. แนวคิดทางด้านการปรับตัว (Adaptation model)ความหมายของสุขภาพในแนวคิดนี้
ได้รับอิทธิพลมาจากดูบอส (Dubos 1965 อ้างใน สมจิตหนุเจริญกุล, 2543) ซึ่งเชื่อว่าบุคคลมีการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและต่อเนื่องตลอดเวลาเพื่อรักษาดุลยภาพกับสิ่งแวดล้อมสุขภาพที่ดีจึงหมายถึงความยืดหยุ่นในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลเป็นการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับชีวิตส่วนการเกิดโรคหมายถึงความล้มเหลวในการปรับตัวเป็นการทำลายความสามารถของบุคคลที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อม
ความสำคัญของปัญหาสุขภาพในสังคมไทย
สภาพปัจจุบันของสังคมไทยได้แปรเปลี่ยนไปจากเมื่อ40-50ปีก่อนมาก อันเนื่องมาจากการพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็ว มีการเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมเป็นประเทศอุตสาหกรรม และบังเกิดค่านิยมความทันสมัยตามรูปแบบของประเทศที่พัฒนาแล้วทำให้วิถีชีวิตของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆด้านรวมทั้งด้านวัฒนธรรมการบริโภค ซึ่งสิ่งนี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ วิกฤติสังคมไทยเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงจากการเป็นอยู่และพฤติกรรมที่เรียบง่ายมาเป็นการเป็นอยู่และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเนื่องจากไปรับเอารูปแบบการดำเนินชีวิตและวัฒนธรรมต่างชาติมาเป็นค่านิยม โดยปราศจาก การไต่ตรองและดัดแปลงปรับปรุงให้เหมาะกับภาวการณ์และสภาพสังคมท้องถิ่น พฤติกรรมสังคมที่ไม่ถูกต้องก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตทั้งด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บที่เรียกว่าโรคพฤติกรรมสังคม โรคที่เกิดคือ โรคหัวใจขาดเลือด โรคมะเร็งปอด โรคเบาหวาน โรคอ้วน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากพฤติกรรมสังคมที่ไม่เหมาะสม มีวัฒนธรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้องความเจ็บป่วยมิได้เพียงแต่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพต่อบุคคลผู้ป่วยเจ็บเท่านั้น หากสังคมมีอิทธิพลต่อความเจ็บป่วย ทั้งในการให้ความหมาย การกำหนดความเจ็บป่วย การรักษาความเจ็บป่วยรวมไปถึงกิจกรรมที่บุคคลกระทำเพื่อสุขภาพของตน ความผิดปกติทางกายที่กิแก่บุคคลนั้น จะมีการให้ความหมายที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล และในแต่ละสังคมแม้ว่าจะมีลักษณะความผิดปกติเดียวกันแต่ตีความว่าลักษณะดังกล่าวเป็นความปกติ หรือไม่ปกติแตกต่างกันการที่บุคคลเห็นคุณค่าของชีวิต (ดร.เทพินทร์ พัชรานุรักษ์,2552) ก็คือ การที่บุคคลรับรู้ว่าตนยังมีความหมายต่อตนเองและสังคมแนวคิดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลเกิดการรับรู้ต่อตนเอง (self - perception) เกิดการรักตัวเอง (self -love) มีความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง (self - esteem) มีความเชื่อมั่นในตนเอง (self - confidence) รวมทั้ง มีความเข้าใจและรู้จักตนเองในด้านอื่นๆ สิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดที่ก่อให้เกิดการเห็นคุณค่าของชีวิตทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อมีการให้ความสำคัญกับคุณค่าชีวิตบุคคลเหล่านั้นก็จะเห็นคุณค่าของการมีภาวะสุขภาพที่ดีและมีพฤติกรรมที่เป็นไปในทิศทางของการส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพ แต่ในทางตรงข้ามหากบุคคลไม่เห็นคุณค่าของชีวิต ก็จะปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปไร้อย่างจุดหมาย ขาดความสนใจตนเองท้ายที่สุดจะประสบความล้มเลวในชีวิตนอกจากนี้ยังจะเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เขาเกิดความท้อแท้หมดอาลัยในชีวิต กลายเป็นความเครียด ท้อถอย มองโลกในแง่ร้ายและจะเป็นสาเหตุของการนำไปสู่ความคิดที่มุ่งร้ายตนเองในที่สุด
สิ่งที่มีอิทธิพลต่อสุขภาพ(จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ, 2543)มีมากมายหลายสาเหตุ แต่ในที่นี้จะแบ่งออกเป็น 3 องค์ประกอบที่สำคัญๆ ดังนี้คือ
1.องค์ประกอบด้านตัวบุคคล เช่นลักษณะทางพันธุกรรม,เชื้อชาติ,เพศ , อายุและระดับพัฒนาการ ปัจจัยทางสรีรวิทยา ปัจจัยทางด้านจิตใจ ความรู้ ความเชื่อ ค่านิยม และทัศนคติพฤติกรรมอนามัย หรือสุขปฏิบัติ
2. องค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อม มีรายละเอียดดังนี้ คือสิ่งแวดล้อมทางกายภาพสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ สิ่งแวดล้อมทางเคมี และสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคม
3. องค์ประกอบทางด้านระบบการจัดการสาธารณสุขและการบริการสุขภาพ หมายถึง การบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆที่มีอยู่ของรัฐในการที่จะสนองตอบต่อการส่งเสริมให้บุคคลที่อาศัยอยู่ในชุมชนนั้นๆ หรือประเทศนั้นๆ มีสุขภาพที่ดี และเท่าเทียมกันส่งเสริมให้ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าถึงระบบการบริการทางการแพทย์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เป็นพระพุทธภาษิตว่า “อโรคยาปรมา ลาภา” ซึ่งแปลว่า “ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” ซึ่งพระพุทธภาษิตข้อนี้แม้แต่ชาวอารยประเทศทางตะวันตกก็ยังยอมรับนับถือกันและเห็นพ้องต้องกันว่า “สุขภาพคือพรอันประเสริฐสุดนอกจากนี้ยังมีสุภาษิตของชาวอาหรับโบราณกล่าวไว้ว่า“คนที่มีสุขภาพดีคือคนที่มีความหวังและคนที่มีความหวังคือคนที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง” ซึ่งนั่นก็หมายความว่าสุขภาพคือวิถีแห่งชีวิตโดยสุขภาพจะเป็นเสมือนหนึ่งวิถีทางหรือหนทางซึ่งจะนำบุคคลไปสู่ความสุขและความสำเร็จต่างๆ นานาได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า “สุขภาพชีวิต”สิ่งนี่คือ ความสำคัญของสุขภาพที่มีต่อสังคมไทย
สังคมไทยกับปัญหาความเจ็บป่วย
ปรากฏการณ์ทางสังคมของความเจ็บป่วยยังได้แสดงออกในลักษณะที่บุคคลถูกคาดหวังจากสังคมว่าควรมีการประพฤติในการปฏิบัติตนอย่างไรเมื่อมีความเจ็บป่วย และในขณะเดียวกันสังคมจะเป็นผู้ประเมินว่าบุคคลนั้นหายจากความเจ็บป่วยหรือยัง เมื่อบุคคลรับรู้ว่าตนเองมีอาการผิดปกติซึ่งเป็นความเจ็บป่วย บุคคลจะต้องมีการกระทำเพื่อคลี่คลายความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นบุคคลยังมีการรับรู้ที่ดูเหมือนจะเป็นไปโดยอัตโนมัติว่าความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งไม่ดี ไม่เป็นที่ต้องการ ต้องมีการดำเนินการขจัดให้หายไปโดยเร็ว การรีบรักษาตนเองด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การไปพบแพทย์และปฏิบัติตนตามที่แพทย์แนะนำการใช้สมุนไพร การทำพิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่บุคคลเรียนรู้จากสังคมในการกระทำเพื่อตอบสนองต่อความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น โดยบุคคลเรียนรู้จากความรู้สึกและการรับรู้ที่ควรมี ท่าทีที่ควรกระทำ และวิธีการปฏิบัติต่อความเจ็บป่วยผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมตั้งแต่วัยเด็ก จากสถาบันครอบครัวและกลุ่มต่างๆ ทางสังคม ซึ่งหากบุคคลใดแสดงออกถึงความปิติยินดีเมื่อตนเองมีความเจ็บป่วย บุคคลนั้น ก็จะถูกตัดสินว่าเป็นบุคคลที่มีความผิดปกติและสังคมก็จะมีกฎเกณฑ์หรือ วิธีการในการทำให้บุคคลนั้นมีการรับรู้ต่อความเจ็บป่วยและสามารถปฏิบัติในทางที่สังคมยอมรับ เช่น การถูกสังคมรอบข้างนินทา การแสดงออกถึงความไม่เชื่อว่าบุคคลนั้นมีความเจ็บป่วยจริง หรือในบางครั้งบุคคลนั้นอาจถูกส่งตัวเข้ารับการบำบัดพฤติกรรมหรือการบำบัดทางจิต เป็นต้น
นอกจากนั้นเมื่อบุคคลได้กระทำต่อความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นตามความคาดหวังของสังคมแล้ว สังคมยังมีอิทธิพลต่อการประเมินว่าบุคคลนั้นหายจากความเจ็บป่วยหรือยัง สังคมอาจกำหนดบุคคลที่เป็นตัวแทนสังคม คือ แพทย์ให้เป็นผู้ประเมินตัดสินว่าความเจ็บป่วยยังมีอยู่หรือไม่ หรือในบางครั้งสังคมโดยบุคคลรอบข้างจะเป็นผู้กำหนดว่าบุคคลนั้น “ควร” หายจากความเจ็บป่วยได้แล้ว เช่น บุคคลที่มีอาการผิดปติและได้ทำการรักษามาเป็นระยะเวลาหนึ่งบุคคลรอบข้างได้ทำการพิจารณาจากท่าที ความสามารถ ศักยภาพของบุคคลในการกระทำกิจกรรมประกอบกับคำวินิจฉัยแพทย์แล้วมีความเห็นว่า บุคคลนั้นหายจากความเจ็บป่วย และหากบุคคลนั้นยังคงกระทำเหมือนหรือราวกับว่าตนเองยังมีความเจ็บป่วยอยู่ สังคมก็จะผลักดันให้บุคคลนั้นดำเนินชีวิตหรือมีการปฏิบัติตนเช่นเดียวกับบุคคลปกติอื่นๆ ที่ไม่มีความเจ็บป่วย จากที่ได้กล่าวมาตั้งแต่ต้นจะแสดงให้เห็นว่า ปัญหาสุขภาพและสังคมไทยเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กัน ดังนั้นความเจ็บป่วยในทางสังคมวิทยาการแพทย์จึงมิใช่เพียงแต่การเกิดขึ้นของความผิดปกติหรือเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางกาย หากแต่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม ซึ่งสังคมจะเป็นผู้กำหนดว่าสิ่งนั้นหรืออาการนั้นเป็นความผิดปกติหรือไม่ ความผิดปกตินั้นเป็นความเจ็บป่วยหรือไม่ และสังคมจะคาดหวังรวมทั้งถ่ายทอดให้บุคคลมีทัศนะทางลบต่อความเจ็บป่วย กำหนดท่าทีที่ควรจะเป็นในการตอบสนองความเจ็บป่วย รวมไปถึงกำหนดบุคคลที่เป็นตัวแทนของสังคมในการจัดการกับความเจ็บป่วยด้วย และยิ่งไปกว่านั้นความผิดปกติทางกายที่เกิดขึ้นนั้นได้ส่งผลกระทบที่แตกต่างกันต่อบุคคลต่างกลุ่มกัน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อการให้ความหมายความเจ็บป่วย การตอบสนองต่อความเจ็บป่วย รวมทั้งผลกระทบทางสังคมเศรษฐกิจที่มีต่อบุคคลต่างกลุ่มกัน การกล่าวถึงความเจ็บป่วยในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมจึงเป็นการกล่าวถึงมิติทางสังคมในสุขภาพและความเจ็บป่วย และเป็นการกล่าวถึงอิทธิพลทางสังคมที่มีต่อสุขภาพและความเจ็บป่วย หากเรารู้จักปรับแนวคิด วิเคราะห์ สิ่งที่ได้เรียนรู้ สิ่งต่างๆรอบตัวล้วนก่อเกิดประโยชน์ในการปรับพฤติกรรมของคนในสังคม สังคมกับสุขภาพเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ ต้องพึ่งพิงอิงอาศัยกันเพื่อประโยชน์ของสังคมไทยในปัจจุบัน
คุณค่าที่ได้จากการศึกษาปัญหาสุขภาพและสังคมไทย
จากการศึกษาปัญหาสุขภาพและสังคมไทยสามารถสรุปคุณค่าที่ได้รับดังนี้
1. สามารถทำการวางแผนในการดูแลสุภาพของตนเองครอบครัวและสังคมได้
2. ทำให้วิเคราะห์สถานการณ์และการประเมินปัญหาสุขภาพ รวมถึงการจัดลำดับความสำคัญของ
ปัญหาสุขภาพเพื่อใช้ในการการวางแผนในการการแก้ไขปัญหาสุขภาพ และเป็นขั้นตอนการกำหนดวิธีการและการคัดเลือกวิธีในการแก้ไขปัญหาสุขภาพให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพของปัญหา
3. เกิดการเรียนรู้...สู่...การปฏิบัติ ทำให้สามารถสำรวจพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ และ
พฤติกรรมเสี่ยงของตนเองว่ามีอะไรบ้าง แล้วนำมาวางแผนดูแลสุขภาพตนเองตามกระบวนการการวางแผนดูแลสุขภาพเพื่อการมีสุขภาพที่ดี
4. สามารถจัดการกับอารมณ์และความเครียด สร้างทักษะชีวิต ซึ่งทักษะชีวิตเป็นความสามารถ
ขั้นพื้นฐานของบุคคลในการคิด ตัดสินใจ แก้ปัญหา และสามารถปรับตัวและเลือกทางเดินชีวิตที่เหมาะสมในการเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ ตามสภาพสังคมปัจจุบัน
5. สร้างความตระหนักให้กับตนเอง ครอบครัว และสังคมในการดูแลสุขภาพทั้งทางด้านร่างกาย
จิตใจ และสังคม ทำให้เกิดสุขภาวะที่ดี ลดการสูญเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ลดภาระให้กับสังคมในการเลี้ยงดูกลุ่มป่วย พิการ จากการเจ็บป่วย และลดค่าใช้จ่ายในการรักษาในกลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง ผลักดันเศรษฐกิจในการพัฒนาสังคมในอนาคตได้มากขึ้น เพราะคนสุขภาพดี ประเทศชาติก็จะดีด้วย
6. สามารถนำองค์ความรู้และสิ่งที่ได้รับการการศึกษาไปเผยแพร่และจัดประสบการณ์ในการดูแล
สุขภาพของคนในสังคมได้อย่างมีคุณค่า
สรุป
สุขภาพของคนในประเทศเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนในสังคมไทยต้องมีการวางแผนและมีการจัดการให้ทุกคนในสังคมมีสภาวะสุขภาพที่สมบูรณ์ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจถึงแม้การดำเนินงานจะเป็นไปอย่างเชื่องช้าและยากลำบาก แต่ทั้งในภาครัฐบาลที่ผ่านมาทุกคณะและประชาชนทุกคนก็ปรารถนาที่จะให้ทุกคนในสังคมไทยมีสุขภาพอนามัยในระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษยชนอันปรากฏอยู่ในธรรมนูญขององค์การอนามัยโลกและยังเป็นเป้าหมายที่จะพัฒนาต่อไปตามคำขวัญขององค์การอนามัยโลกที่ว่า “Health For All By The Year 2000”แปลเป็นภาษาไทยว่า
“สุขภาพดีถ้วนหน้าเมื่อปี 2543” ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกขององค์การอนามัยโลกและได้นำแนวทางดังกล่าวมาดำเนินการจนถึงปัจจุบันทำให้ประชาชนในประเทศมีสุขภาพดีในระดับหนึ่งและจะพัฒนาให้คนในชาติมีคุณภาพชีวิตที่ดี (Quality Of Life) ในระยะต่อไปเพื่อความเจริญและมั่นคงของประเทศชาติ
สุขภาพเป็นสมบัติประจำตัวของมนุษย์ และเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนผู้อื่นจะหยิบยื่นให้ แลกกัน หรือทำแทนกันไม่ได้ ดังนั้นประชาชนแต่ละคนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ขวนขวายทะนุบำรุงและรักษาสุขภาพของตนเองให้มีความสมดุล ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆเสาะหาแนวทางที่เหมาะสมมาปฏิบัติเพื่อให้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขทั้งภายในครอบครัวและภายในสังคมอย่างไรก็ดีคนเรายังคิดไม่ถึงหรือมองไม่เห็นว่าสุขภาพเป็นสมบัติส่วนบุคคลแล้วจะทำให้เขาเหล่านั้น ดูแลเอาใจใส่ตนเองอย่างเพียงพอหรือดูแลเอาใจใส่สุขภาพตนเองอย่างดีที่สุดยังมีความเชื่อว่าการที่สุขภาพดีนั้น จำเป็นต้องอาศัยผู้อื่นเป็นหลักในการช่วยเหลือหรืออาจจะเรียกได้ว่า ต้องยืมจมูกคนอื่นมาหายใจก็อาจจะมีผลกระทบให้บุคคลนั้น ๆ มีสุขภาพไม่ดีเท่าที่ควรร่างกายไม่แข็งแรงหรือมีอาการทุพพลภาพเกิดขึ้นได้ซึ่งอาจจะรวมหรือไม่รวมถึงการมีจิตใจอารมณ์หรือความรู้สึกนึกคิดที่ผิดไปจากปกติหรือคนธรรมดาเป็นสาเหตุให้บุคคลซึ่งอยู่ในสภาพดังกล่าวมีความยากลำบากในการปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมหรือชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นสุขไม่สามารถประกอบอาชีพให้เกิดผลได้อย่างเต็มที่และถ้าหากว่าสุขภาพมีความเสื่อมโทรมมากก็จะสร้างความยากลำบากให้แก่ครอบครัวและเป็นภาระแก่สังคมด้วยส่วนบุคคลที่มีสุขภาพทางจิตผิดปกตินั้นก็จะมีปัญหาเช่นเดียวกับผู้ที่มีสุขภาพทางกายไม่ดีและยังอาจเป็นอันตรายต่อสังคมโดยการประพฤติปฏิบัติไม่ชอบธรรมต่างๆ เช่นการติดสารเสพติด ประพฤติตนเป็นอันธพาล ก่อกวนความสงบของสังคมหรือกรระทบการอันเกี่ยวกับอาชญากรรมซึ่งเป็นผลร้ายต่อทรัพย์สินหรือชีวิตผู้อื่นก็ได้บุคคลบางคนสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้เป็นอย่างดี ตามสายตาของบุคคลภายนอกแต่บุคคลเหล่านั้นอาจจะมีความยากลำบากในการปรับความรู้สึกภายในจิตใจของตนเอง ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในจิตใจ และอารมณ์เช่น มีความทุกข์กังวลใจหวาดกลัว หวาดระแวง ก็อาจทำให้กินไม่ได้ นอนไม่หลับซึ่งถ้าปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือมีระยะยาวนานก็จะเกิดผลเสียต่อสุขภาพทางกายไปด้วย เช่น เกิดอาการเป็นโรคกระเพาะอาหารโรคภูมิแพ้ และโรคอื่น ๆ อีกได้เช่นกันดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่าการที่คนเรามีสุขภาพดี ทั้งทางกายและทางจิตใจนั้นย่อมทำให้เราเป็นบุคคลหรือประชาชนที่เป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของสังคมมีความสาสมารถในการดูแลตนเองและครอบครัวตลอดจนมีความสามารถที่จะร่วมมือกับคนอื่นๆ ในการสร้างและทำนุบำรุงสังคมรวมทั้งการช่วยกันสร้างเสริมความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติได้เป็นอย่างดี
อ้างอิง
1.หนังสือ :
โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์. (2542). ปรากฏการณ์ชีวจิต บอกอะไรแก่สังคมไทย กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิ
โกมลคีมทอง.
คาปร้าและฟริตจ๊อฟ.(2529). จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ เล่ม 1 และ 2กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิโกมลคีมทอง.
จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ.(2543). สถานะสุขภาพของคนไทย นนทบุรี:สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข.
วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์.(2541). นโยบายสาธารณะ เพื่อสุขภาพ กรุงเทพมหานคร : บริษัท ดีไซร์ จำกัด.
วิธาน ฐานะวุฑฒ์.(2546). หัวใจใหม่-ชีวิตใหม่ เชียงราย: ปิติศึกษา.
ศุภสิทธิ์ พรรณนารุโณทัย. (2543) ความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ กรุงเทพมหานคร : สถาบันวิจัยระบบ
สาธารณสุข
2.สารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์:
ดร.เทพินทร์ พัชรานุรักษ์.(2552) บริบททางสังคมกับสุขภาพ.สืบค้น 28 ตุลาคม 2558, เข้าถึงได้จาก
http://www.dmh.go.th/news/view.asp?id=1073
พระไพศาล วิสาโล. (2535). สุขภาพ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม.สืบค้น 25 ตุลาคม 2558, เข้าถึงได้จาก
http://www.visalo.org/article/healthsukapabkabOngR...
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2557). สุขภาพ. สืบค้น 28 ตุลาคม 2558, เข้าถึงได้จาก
https://th.wikipedia.org/wiki/
สำนักงานคณะกรรมสุขภาพแห่งชาติ.(2545) . พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ. สืบค้น 28 ตุลาคม 2558,
เข้าถึงได้จาก http://www.nationalhealth.or.th/node/429
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข. (2557). สถิติสาธารณสุข. สืบค้น 28 ตุลาคม 2558,
เข้าถึงได้จาก http://bps2.moph.go.th/content
Smith, 1983 อ้างใน สมจิต หนุเจริญกุล.(2543). แนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพ. สืบค้น 28 ตุลาคม 2558,
เข้าถึงได้จาก https://www.gotoknow.org/posts/467458
Dubos, 1965 อ้างใน สมจิต หนุเจริญกุล.(2543). แนวคิดเกี่ยวกับสุขภาพ. สืบค้น 28 ตุลาคม 2558,
เข้าถึงได้จาก https://www.gotoknow.org/posts/467458
ไม่มีความเห็น