นาย ก. อาชีพรับราชการครู ได้รับการส่งต่อจากโรงพยาบาลจังหวัดหนองคายมายังโรงพยาบาลศรีนครินทร์เพื่อมารับการผ่าตัดเนื่องจากตรวจพบมีก้อนมะเร็งในกระเพาะอาหาร นาย ก. รับทราบว่าตัวเองเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร และแผนการรักษาว่าหลังผ่าตัดครั้งนี้คือ การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด มีความหวังว่าโรคจะหาย หรือถ้าไม่หาย ก็น่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายๆปี
นาย ก. มานอนโรงพยาบาลได้ ๑ วัน ก็ได้รับการผ่าตัดตามที่แพทย์ผู้รักษาแจ้งไว้ หลังผ่าตัด มีแผลผ่าตัดเปิดหน้าท้องขนาดใหญ่ถูกเย็บปิดไว้ มีสายระบายขนาดเล็ก ๒ สาย ตรงปลายมีกระเปาะรองรับน้ำที่ออกมาจากช่องท้อง ถ้าเต็มต้องตามพยาบาลมาช่วยเทและต้องบีบกลับไปให้ฟีบใหม่ทุกครั้ง มีสายจมูก (NG tube) ที่ถูกใส่คาไว้ตลอดเวลา แพทย์ผู้รักษาได้ให้ลอง feeding liquid diet 100 ml (ให้อาหารเหลวทางสายยางปริมาณ ๑๐๐ มล.) แต่ได้ประมาณ 50 ml ก็ต้องยุติการให้เนื่องจากนาย ก. จะบ่นปวด อืดแน่นท้องมาก ร่วมกับพบว่ามี content ที่ออกมามากกว่าที่ให้เข้าไป
ดังนั้นแพทย์จึงพิจารณาให้สารอาหารทางหลอดเลือดดำร่วมด้วย แต่เนื่องจากการให้สารอาหารที่มีความเข้มข้นสูง ทำให้เกิดหลอดเลือดดำอักเสบบ่อยๆ ดังนั้นจากการตรวจร่างกาย จึงเห็นรอยเขียวช้ำจากการโดนเข็มทิ่มแทง จากการที่ต้องเปลี่ยนตำแหน่งการให้สารน้ำสารอาหารทุก ๓-๔ วัน
หลังผ่าตัดผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเป็น stomach cancer (มะเร็งกระเพาะอาหาร) และมีการกระจายของมะเร็งไปที่ตับ (multiple liver metastasis) ผนังช่องท้อง (omental metastasis ) และยังพบว่ามะเร็งลุกลามในช่องท้อง จนบีบรัดลำไส้ (carcinomatosis peritonei) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้มีการอุดตันของลำไส้บางส่วน (partial gut obstruction) ที่ส่งผลให้มีปัญหาการดูดซึมไม่สามารถ feeding (ให้อาหารทางสายยาง) ได้ นาย ก. มีอาการปวดมาก ไม่ถ่ายอุจจาระ ร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งทำให้ทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก
แพทย์ได้แจ้งการวินิจฉัยโรคและพยากรณ์โรคให้ลูกชายคนเดียวของนาย ก. (น้องเจ) ทราบว่า ในการผ่าตัดครั้งนี้ ไม่สามารถเอาก้อนมะเร็งออกได้ เนื่องจากโรคมะเร็งอยู่ในระยะลุกลา มและก้อนมะเร็งกระจายไปในช่องท้อง ไม่มีการรักษาตัวโรคให้หายได้ น้องเจขอร้องแพทย์ไม่ให้บอกนาย ก. กลัวนาย ก. จะทรุดและหมดกำลังใจ ได้สอบถามแพทย์ถึงระยะเวลาการมีชีวิตที่เหลืออยู่ของพ่อ แพทย์แจ้งว่านาย ก. น่าจะมีระยะเวลาอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือน แนะนำให้รักษาตามอาการจะดีที่สุด และถ้าต้องการกลับบ้านเมื่อไหร่ก็แจ้งได้เพราะอนุญาตให้กลับได้ตามความต้องการ
น้องเจหาโอกาสสอบถามความต้องการของพ่อเรื่องการกลับไปอยู่ที่บ้าน แต่พบว่า พ่อปฏิเสธ ส่วนน้องเจเองก็มีความรู้สึกว่าพ่อดูไม่สุขสบายและทุกข์ทรมานจากอาการปวด ต้องการให้อาการปวดดีขึ้นกว่านี้ แพทย์ผู้รักษาจึงแจ้งว่า ถ้าอย่างนั้นจะปรึกษาอีกทีมหนึ่งชื่อการุณรักษ์ ซึ่งเป็นทีมดูแลแบบประคับประคองให้เข้ามาร่วมดูแลด้วย โดยในเบื้องต้นได้ควบคุมอาการปวดของนาย ก. โดยการให้ยามอร์ฟีนอยู่แล้ว
ในช่วงบ่ายวันพฤหัสบดี ภายหลังได้รับการสื่อสารจากพยาบาลหอผู้ป่วยว่าแพทย์ผู้รักษาต้องการส่งนาย ก. เพื่อขอรับคำปรึกษาแบบประประคับประคอง จึงรีบไปทันที ภายหลังอ่านใบขอรับการปรึกษาของแพทย์ผู้รักษา ร่วมกับทบทวนประวัติการเจ็บป่วย การวินิจฉัยโรคล่าสุด แผนการรักษา และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (BUN=2.5, Cr = 0.5, Alb = 1.9, Hb=8.6, Hct=27.8, WBC=15,100, INR= 1.20) และการตรวจพิเศษต่างๆ ก็ทำให้พอจะทราบได้บ้างว่า ผู้ป่วยน่าจะมีเวลาเหลือน้อยเต็มที
ครั้งแรกที่เจอ นาย ก. นอนอยู่บนเตียง สามารถพลิกไปมาได้ด้วยตัวเองได้แต่ต้องคอยระวังสายต่างๆ ที่ดูระโยงรtยางทั่วตัว สีหน้าเรียบเฉย ค่อนข้างซีดและสีหน้าอิดโรย ได้แนะนำตัวและจุดประสงค์ของการเข้ามาร่วมดูแลเสริมร่วมกับทีมแพทย์ผู้รักษา ช่วงแรกดูนาย ก. ไม่ค่อยสนใจกับการเข้าไปในครั้งแรกมากนัก แต่พอได้ยินคำว่า "เป็นทีมดูแลแบบประคับประคอง จะมาช่วยลดอาการปวดให้อยู่สบายขึ้น” นาย ก.เริ่มให้ความสนใจในการสื่อสารด้วยมากขึ้น
จากการประเมินอาการทางร่างกายพบว่านาย ก. มีปัญหาเรื่องปวดมากที่สุด background pain= 4-5/10, worst = 9/10 best = 0/10 (หลังได้รับยา MO 3 mg ฉีด) เนื่องจากแพทย์ผู้รักษาได้สั่งยา MO 3 mg IV prn. q 4 hrs ทำให้นาย ก. ต้องคอยหาจังหวะ ขอยาแก้ปวดกับพยาบาลบ่อยๆ ซึ่งลำบากในการขอยา เพราะขึ้นกับพยาบาลที่อยู่เวร บางคนใจดี ขอปุ๊บให้ปั๊บ บางคนรับปากแล้วลืม บางคนก็บ่นว่า ขอยาบ่อยเกินไป ใช้ยาเยอะระวังจะได้ยาเกินขนาด แต่สำหรับนาย ก. แล้วเขาทราบแต่เพียงว่า หลังได้ยาแล้ว อาการลดปวดดีขึ้น ทำให้หลับได้บ้าง
“ไม่อยากทรมานจากอาการปวดที่มีตลอดทั้งวัน ต้องคอยให้ภรรยาเดินไปขอยากับพยาบาลบ่อยๆ”
“ให้ยาผมต่อเนื่องเลยได้ไหม ทำไมต้องให้คอยขอยาแก้ปวดบ่อยๆ”
นอกจากอาการปวดแล้วยังพบว่า นาย ก.ยังมีอาการไม่ถ่าย ยังผายลมได้บ้าง ร่วมกับอาการคลื้นไส้อาเจียน นอนไม่ค่อยหลับและรู้สึกอ่อนล้ามาก
หลังจากนั้นทีมเราก็เริ่มปฏิบัติการ symptom control (ควบคุมอาการ) ร่วมกับการสร้างสัมพันธภาพกับนาย ก.ไปพร้อมๆ กัน โดยอาจารย์ศรีเวียงได้ควบคุมอาการปวดโ ดยการให้ยาอย่างต่อเนื่องทุก ๔ ชั่วโมงโดย ไม่ต้องขอบ่อยๆ (Morphine 3 mg IV q 4 hrs) นอกจากนี้ ทีมเรายังเข้าใจธรรมชาติของความปวดมะเร็ง ที่มีปวดปะทุได้ระหว่างวัน จึงมียา Morphine 3 mg for BTP ให้นาย ก. ขอ เพื่อลดอาการปวดได้ทุก ๒ ชั่วโมง และยาจำเป็นอื่นๆ เพื่อจัดการอาการที่เหลือได้แก่ plasil 10 mg iv q 6 hrs, Senokot 2x1 hs., Ativan (0.5 mg) 1x1 hs.
หลังจากนั้นประเมินอาการปวดอย่างต่อเนื่องทุกวัน ปรับยามอร์ฟีนเพิ่มขึ้นตามอาการปวด ที่มีจนผู้ป่วยพึงพอใจ เมื่อเห็นว่าอาการปวดดีขึ้นแพทย์ผู้รักษาจึง off Rt.Jackson drain ผลที่ตามมา คือ ท้องนาย ก.โตตึงมากขึ้น มีน้ำขังในช่องท้อง ร่วมกับมีคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย อาจารย์ศรีเวียงจึงพิจารณาให้ยา Octreotide 100 micro gm. ทุก 8 ชั่วโมง เพื่อหวังลดการหลั่งสารคัดหลั่งของก้อนมะเร็งที่กระจายในท้อง และลดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ด้วย
จากการประเมินข้อมูลด้านจิตสังคม จิตวิญญาณ พบว่านาย ก. อาชีพรับราชการครู สอนระดับประถม นับถือศาสนาพุทธ มีพี่น้อง ๓ คน นาย ก.เป็นคนกลาง พี่สาวคนโตอยู่ต่างประเทศ จะกลับมาเมืองไทยในอีก ๓ เดือนข้างหน้า น้องสาวคนเล็ก บ้านอยู่ในอำเภอเดียวกัน เคยแต่งงานมาแล้วสองครั้ง แต่งงานครั้งแรกมีลูกชาย ๑ คน คือน้องเจอายุ ๒๐ ปี นาย ก.และภรรยาคนแรกเลิกทางกันตั้งแต่น้องเจอายุ ๕ ขวบ สาเหตุที่เลิกกันเพราะทนพฤติกรรมนาย ก.ที่กินเหล้าและเจ้าชู้ไม่ได้ ส่วนนาย ก.เองก็รู้สึกผิดกับแม่ของน้องเจมาจนถึงปัจจุบัน และคิดโทษตัวเองว่า ที่เจ็บป่วยครั้งนี้ เป็นเพราะบาปกรรมที่ได้ทำกับแม่ของน้องเจ ส่วนภรรยาคนที่สองที่แต่งงานอยู่กินกันมาไม่กี่ปี เจอกันในวงเหล้าและมีปัญหาสุขภาพ คือ เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ดังนั้นในเรื่องการดูแลนาย ก.ก็คือ น้องเจ ซึ่งถือเป็นผู้ดูแลหลักรวมถึงการตัดสินใจหลักด้วย
นาย ก.ยังมีความหวังกับการรักษา “ผมยังคิดว่าตัวเองจะหาย รอแพทย์มาให้ข้อมูล รอการให้ยาเคมีบำบัด หวังจะลุกเดินได้ กินได้ท้องไม่อืด” เนื่องจากทีมเราทราบว่า น้องเจเป็นคนที่ห้ามไม่ให้แพทย์บอกความจริงเรื่องโรคกับพ่อ เราจึงเริ่มต้นการสื่อสารกับน้องเจ และภรรยาคนที่ ๒ ก่อน เพื่อขออนุญาตไปสื่อสารบอกความจริงกับนาย ก. จะได้ทราบแผนการดูแลล่วงหน้า (advance care plan) สำหรับการเจ็บป่วยด้วยโรคระยะท้าย เช่น สถานที่ดูแล การพยุงชีพที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่างๆ ในที่สุดน้องเจก็ให้โอกาสพ่อได้ตัดสินใจเลือกด้วยตัวเอง เพราะไม่กล้าตัดสินใจเรื่องเหล่านี้แทนพ่อได้
หลังจากนั้นอาจารย์ศรีเวียงได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับความเข้าใจโรคของผู้ป่วย ได้บอกความจริงเกี่ยวกับระยะโรคและการพยากรณ์โรค แนวทางการดูแลแบบประคับประคอง ได้ให้ผู้ป่วยคิดสะท้อนถึงความต้องการและบอกแนวทางการดูแลที่บ้าน ได้สร้างความมั่นใจว่าอาการของผู้ป่วยพอที่จะจัดการให้อยู่ได้ที่บ้าน และจะติดต่อประสานเครือข่ายให้ลงเยี่ยมบ้านและดูแลร่วมกัน ได้มีการพูดคุยถึงการดำเนินโรคและการจัดการอาการในระยะท้ายสุดที่อาจเกิดขึ้น ผู้ป่วยตัดสินใจกลับบ้าน ได้เลือกแนวทางการดูแลที่ไม่รุกรานแต่ให้สุขสบาย (comfort care)
หน่วยการุณรักษ์ให้การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่บ้านได้อย่างราบรื่นเพราะอาศัยองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้
• การสื่อสาร การให้ความมั่นใจกับผู้ป่วยและครอบครัวว่า ถึงแม้ตัวโรคจะไม่มีแนวทางรักษาต่อ แต่ผู้ป่วยยังคงได้รับการดูแลจากทีมสุขภาพในแนวทางแบบประคับประคอง และจะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง การให้ข้อมูลโรคและแนวทางการดูแล การวางแผนการดูแลล่วงหน้า (advance care plan) จะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวเข้าใจและทราบเป้าหมายการรักษา ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการกลับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล นอกจากนี้การสื่อสารระหว่างทีมสุขภาพทุกระดับมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด การส่งต่อข้อมูลเรื่องโรคและแผนการดูแล ทีม palliative care ในโรงพยาบาลชุมชนควรสามารถเข้าถึงการปรึกษากับ palliative care specialist เพื่อช่วยให้คำแนะนำการจัดการอาการที่ซับซ้อนควบคุมลำบาก รวมถึงช่วยในการตัดสินใจในการทำหรือไม่ทำหัตถการหรือการรักษาชนิดต่างๆ
• มีการวางแผนการจำหน่ายอย่างดี เพื่อช่วยการเปลี่ยนผ่านจากการดูแลที่โรงพยาบาลไปสู่การดูแลที่บ้านอย่างไร้รอยต่อ
• การมีผู้ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน และการพัฒนาศักยภาพผู้ดูแล ให้สามารถประเมินและให้การบริบาลผู้ป่วยได้อย่างดี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลให้สุขสบาย รวมถึงเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและเสริมพลังให้กับผู้ดูแล
• การจัดการอาการที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอาการปวดและอาการหอบ ซึ่งเป็นอาการที่ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน ถ้าไม่สามารถจัดการอาการได้ดี ผู้ป่วยมักไม่ยินดีกลับบ้าน หรือกลับบ้านแล้วมักถูกนำกลับมาโรงพยาบาลใหม่ สำหรับนาย ก. มียา morphine ร่วมกับplasil และ octreotide ผสมกันใน syringe เดียวกันโดยให้ continuous subcutaneous infusion ผ่านทาง syringe driver รวมถึงมียา morphine สำหรับฉีดเมื่อมีอาการปวดปะทุระหว่างวันหน่วยได้สอนแสดงวิธีการผสมยาและการแทง subcutaneous และวิธีการใช้เครื่อง syringe driver
• การมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ต้องใช้ที่บ้าน เช่น รถเข็น เตียงลม และอุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นที่ต้องใช้ที่บ้าน เช่นเครื่องผลิตออกซิเจน syringe driver ซึ่งเป็นเครื่องปั๊มยาให้ผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องทางใต้ผิวหนัง
• การเข้าถึงการปรึกษาได้ตลอดเวลา ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันยังทำได้ยากในบางแห่ง เนื่องจากหน่วยงานส่วนใหญ่ยังไม่มีผู้รับผิดชอบด้านนี้ทำงานประจำ และถึงแม้จะมีก็ไม่สามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง
• การมีเครือข่ายปฐมภูมิในชุมชนรองรับการส่งต่อและการเชื่อมโยงเครือข่าย เพื่อช่วยให้เกิดการดูแลอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ป่วยรายนี้ หน่วยการุณรักษ์ได้ติดต่อโรงพยาบาลชุมชน โดยให้เภสัชชุมชนและพยาบาลศูนย์ดูแลต่อเนื่องลงเยี่ยมบ้านร่วมกันกับหน่วยฯ พร้อมกับให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพลงเยี่ยมบ้านเพื่อส่งต่อผู้ป่วยร่วมกัน ช่วงแรกเบิกจากหน่วยการุณรักษ์ไป 3 วันหลังจากนั้น เภสัชจากโรงพยาบาลชุมชนทำหน้าที่จัดยาให้ รพ.สต.และทำหน้าที่ผสมยาให้ญาติผู้ป่วยมารับยาทุกวัน
• นำบริการต่างๆไปให้ผู้ป่วย ไม่ใช่ให้ผู้ป่วยต้องมารับบริการที่โรงพยาบาล เนื่องจากผู้ป่วยที่อยู่ระยะท้ายมากๆ มักมีอาการอ่อนล้า การเดินทางและมาคอยตรวจที่โรงพยาบาลจะสร้างความไม่สุขสบายและเป็นภาระ
• การมียาระงับปวดกลุ่ม opioids ที่เข้าถึงได้ง่ายโดยเฉพาะในระดับโรงพยาบาลชุมชน รวมถึงการที่สามารถเอายาฉีด morphine ออกไปให้ที่บ้าน เนื่องจากในระยะก่อนเสียชีวิต ผู้ป่วยมักไม่สามารถกลืนยาได้ จำเป็นต้องให้ยาเข้าใต้ผิวหนัง รวมถึงผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานยาจากมีภาวะการอุดตันของทางเดินอาหาร
สำหรับนาย ก. เมื่อมีอาการมากขึ้น พยาบาลรพ.สต.โทรปรึกษามาที่หน่วยการุณรักษ์ ซึ่งได้แนะนำปรับยาเพิ่มขึ้น
• วันเสาร์ 07/08/56 อาเจียนเพิ่มขึ้น 4-5 ครั้งต่อวัน เหนื่อยหายใจไม่อิ่ม ต้องการกลับไปรักษาใน รพ. ได้ปรับเพิ่มยา plasil เป็น 60 mg เพิ่ม Dexa 8 mg SC OD x 5days เครือข่ายช่วยจัดหาออกซิเจนให้ใช้ที่บ้าน อาการดีขึ้น
ต่อมาวันอาทิตย์ที่ 15/08/56 – urinary problem เครือข่ายลงไปคาสายสวนปัสสาวะให้ วันต่อมาไม่ถ่าย ปวดท้องมากขึ้น เพ้อกลางคืน ปรับยาอีกครั้ง off plasil เพิ่ม hadol 5 mg hs.
(MO + octreotide + buscopan)
• ในระยะใกล้เสียชีวิต ดูแลยืนยันการตัดสินใจและ support ครอบครัว
“ช่วยประสานทีมมาให้น้ำเกลือพ่อผมได้ไหม?”
"สังเกตพ่อเริ่มมีแผลกดทับ กลางคืนมีเพ้อ สับสน”
“พ่อผมไอไม่ออก เสมหะติดคอ เหนื่อยมากขึ้น”
“ผมต้องทำอย่างไร พาพ่อไปโรงพยาบาลดีไหม?”
ระบบโทรศัพท์ให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“มีอะไรก็โทรมานะ พี่ยินดี”
เสียชีวิตอย่างสงบวันที่ 19/09/56 เวลา 00.30 น. ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายที่บ้านได้อย่างราบรื่นนานเกือบ 4 สัปดาห์โดยมีทีมสุขภาพให้บริการที่บ้าน และเสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านโดยไม่ทุกข์ทรมาน ตามความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัว
• ผู้ป่วยบริจาคร่างกาย ให้ลูกชายโทรมาสอบถามขั้นตอนหลังจากเสียชีวิต รพ.ศรีนครินทร์ ออกใบรับรองแพทย์ให้ เพื่อความสะดวกแก่ครอบครัวในการไปแจ้งเสียชีวิต การจัดการมรดก: มีเพื่อนครูที่สนิทกันมาเป็นพยาน เตรียมเสื้อผ้า: ชุดปกติขาว การสั่งเสีย สั่งลา: รอพี่สาวจากต่างประเทศกลับมา การขออภัย: ภรรยาคนแรก (แม่น้องเจ)
• การจัดการศพ: แนะนำ การอาบน้ำ แต่งตัว การบรรจุศพ กรณีบริจาคร่างกาย: ไม่ฉีดยาศพ ใส่โลงเย็น การจัดหาโลงศพ โลงเย็น (ประสานเครือข่ายช่วยเหลือ) การแจ้งตาย การติดต่อขอรับเงิน (ประกันชีวิต ฌาปนกิจกิจศพ)
• การโทรศัพท์แสดงความเสียใจ ติดตามเป็นระยะๆ
• สุดท้ายได้เอายาที่เหลือและอุปกรณ์มาคืนที่หน่วยการุณรักษ์
ผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลแบบประคับประคองส่วนใหญ่ต้องการใช้ชีวิตระยะสุดท้ายที่บ้าน ต้องการตายที่บ้านอย่างสงบในบรรยากาศที่เอื้ออาทรเต็มไปด้วยญาติมิตร ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกยืดชีวิตด้วยเครื่องมือต่างๆในโรงพยาบาล และยังช่วยลดอัตราการครองตียงในโรงพยาบาล ทีมสุขภาพและระบบการบริการที่ดีมีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยและครอบครัวในการปรับตัวต่อความตายที่กำลังจะมาถึงได้ด้วยจิตใจที่เข้มแข็ง ยอมรับความจริงได้อย่างมีสติและสงบ
ไม่มีความเห็น