เราสามคน ผม เถิงและเหรียญเดินมาถึงที่ว่าการอำเภอบุณฑริกราวเก้าโมงเศษ ผมให้สองคนนั้นนั่งพักที่ม้านั่งผู้มาติดต่อราชการที่ระเบียงของอาคารที่ว่าการอำเภอ ส่วนผมฝากเป้ไว้กับเหรียญแล้วเดินเข้าไปด้านในของชั้นล่างซึ่งเป็นที่ทำการหมวดการศึกษาอำเภอ วันนั้นจำได้ว่าท่านหัวหน้าหมวดการศึกษาไม่อยู่
"ผมมาขอหนังสือส่งตัวครับ" ผมบอกกับเจ้าหน้าที่
"อ้อ...คุณครูมาถึงเร็วดี ท่านผู้ช่วยศึกษาธิการอำเภอบอกไว้ว่า หากครูมาถึงให้เข้าไปพบท่านด้วย" เจ้าหน้าที่สาวสวยบอกผม
สำนักงานศึกษาธิการอำเภอบุณฑริกอยู่ลึกสุดของอาคารชั้นล่าง ถัดจากที่ทำการหมวดการศึกษา ตอนนั้นตำแหน่งศึกษาธิการอำเภอว่าง ผู้ช่วยศึกษาธิการอำเภอรักษาราชการแทน ซึ่งท่านอายุใกล้เกษียณแล้ว
"เออ..ดีละ อยู่โรงเรียนบ้านโนนสูงไปก่อนนะ ตำแหน่งใกล้ๆ ไม่มี ไม่ลำบากหรอก ดีกว่าอยู่บ้านคำบาก" ท่านให้กำลังใจหลังจากผมทำความเคารพท่านและนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะของท่านแล้ว
"คิดยังไงถึงพาชาวบ้านไปยิงหมีตอนกลางคืน ดีที่มันไม่ตบเอา" ท่านถาม ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร ได้แต่ยิ้มแห้งๆ
"เห็นแก่ดีหมีและกระดูกไม่กี่บาท ไม่คิดถึงชีวิตตัวเอง ไม่คิดว่าพ่อแม่จะเป็นห่วงรึ" คราวนี้ท่านสอน แต่แววตายังปรานี
"ไปอยู่บ้านโนนสูง ยังจะไปหายิงสัตว์อีกไหม" ท่านถามยิ้มๆ
"ไม่ไปแล้วครับ ผมขายปืนกระบอกนั้นแล้ว" ผมตอบ
จากนั้นท่านผู้ช่วยศึกษาธิการอำเภอได้ให้โอวาทและให้พร ผมยกมือไหว้น้อมรับและลาท่าน
ผมเดินกลับออกมารับหนังสือส่งตัวจากเจ้าหน้าที่คนสวยคนเดิมพร้อมกับขอบคุณ เธอยิ้มสวยเป็นการตอบรับ
กว่าผมจะออกจากที่ว่าการอำเภอบุณฑริกได้ก็เกือบเที่ยง เราสามคนแวะกินก๊วยเตี๋ยวในตลาดบุณฑริกก่อน แล้วเดินต่อมุ่งสู่ตะวันออก ผ่านโรงเรียนบ้านโพนงาม โรงเรียนประถมศึกษาที่ใหญ่ที่สุดของอำเภอ เป็นโรงเรียนเก่าแก่มีอายุนานมาก นานกว่าการเป็นอำเภอบุณฑริกหลายสิบปี (ชื่ออำเภอบุณฑริกตั้งขึ้นมาอย่างไรไม่ทราบ และตอนที่ตั้งชื่ออำเภอก็ไม่มีบ้านชื่อบุณฑริก)
ในเดือนธันวาคม 2512 อำเภอบุณฑริกมีถนนลูกรังเพียงเส้นเดียว คือ บุณฑริก-เดชอุดม ที่เหลือเป็นถนนดิน และทางเกวียน เราสามคนเดินกันเงียบๆ ตามทางเกวียนและบางช่วงก็เดินตามทางคนเดิน ตัดทุ่งนาผ่านป่าละเมาะ บางแห่งมีป่าสนสูงใหญ่ทีเขาใช้ลำต้นที่หักโค่น หรือกิ่งก้านผ่าทำเป็นเชื้อไฟ
ผมหวนคิดถึงคำพูดของท่านผู้ช่วยศึกษาธิการอำเภอ ความจริงผมไม่ใช่คนพาชาวบ้านไปยิงหมี ผมเพียงมีเหตุบังเอิญไปหากิ้งก่ายักษ์ แล้วไปจ๊ะเอ๋กับหมี ผมจึงต้องยิงมัน ซึ่งบังเอิญอีกที่หมีใจเสาะ จากนั้นชาวบ้านได้เอาดีหมีและกระดูกหมีไปขาย ผมจำได้ว่าขายเพียง 90 บาท
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชาวบ้านก็ชวนผมออกล่าหมีทุกคืน จากเดือนมืดข้างแรมจนข้างขึ้น แต่ไม่ได้ยิ่ง มีเพียงได้ยินเสียงหมีลงจากต้นไม้และวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว หากจ๊ะเอ๋หมีอีกครั้ง ผมยังจะมีโอกาสนั่งเล่าอย่างนี้หรือเปล่าไม่ทราบได้........
จากบ้านโพนงาม ตลาดบุณฑริกไปบ้านโนนสูงระยะทางราว 6 กิโลเมตร พอเราเดินพ้นสะพานท่อนไม้ข้ามลำธารเล็กๆ เราก็ได้ยินเสียงหมาเห่าชัดเจน ขณะที่เงาของเราทอดไปข้างหน้ายาวพอๆ กับความสูงของเรา
"คิดถึงพวกเราบ้างนะครู" เถิงทำลายความเงียบเมื่อเราเดินพ้นป่าละเมาะมองเห็นหมู่บ้านโนนสูงอยู่ข้างหน้า
"หากคิดถึงพวกเรานะ ขอให้ครูมองดวงจันทร์หรือดวงดาว สายตาเราจะพบกันตรงนั้น" เหรียญใช้สำนวนหมอลำซึ่งเรียกเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครง......
ปล. สนใจอ่านเรื่องหมีๆ อ่านตอน 33 และ 34 นะครับ
(ขอขอบคุณภาพประกอบจากกูเกิ้ล)
เล่าได้สนุกมากเลยครับ
รวมเล่มชีวิตครูบ้านนอกได้เลยครับ
ขอบคุณครับท่าน ดร.
การรวมเล่มแล้วแต่ลูกๆ เขาครับ ผมไม่กล้าส่งให้โรงพิมพ์ อายเขาครับ
สวัสดีครับ ยายธี
ผมขอเรียนว่า ปัจจุบันนี้ผมกลัวบาปมาก
มดไต่ก็ปัด ยุงกัดก็เป่า เผื่อจะบรรเทากรรมชั่วที่ได้กระทำสมัยหนุ่มได้บ้าง แม้จะทราบดีว่า กรรมไม่สามารถลบล้างได้
ขอบพระคุณมากครับ