ถ้าให้เทียบว่า ปีนี้ กับ 10 ปีที่มามีอะไรเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ หนอ
นอกจากร่ายกายภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ หนอ
นั่นคือ .. ช่วงว่าง ของใจ
ห่างจากกันมากเกินกว่าจะอธิบายได้ หนอ
ถ้าเทียบเป็นความสูงแล้ว
ใจเมื่อ 10 ปีที่แล้ว กับใจ ณ วันนี้ สูงต่างกันมาก ๆ
---------------------
ผมเริ่มสัมผัสธรรมแท้ ๆ ตอนเรียนปริญญาเอกอยู่ปีที่ 2 (พ.ศ.2548)
ก่อนหน้านั้น ต้องยอมรับตามตรงว่า
ไม่อาจสามารถเห็นธรรมแท้ได้
ถึงแม้จะเห็น แต่ก็คงไม่รู้จัก หนอ
แต่ก่อนนั้น ผมมองคนเข้าวัดปฏิบัติ อย่างผิดเผิน
และ หลายครั้ง ที่เผลอคิดและพูดไปว่า เป็นกลุ่มผู้ลุ่มหลงในธรรมหนอ
และด้วยความไม่รู้นั้น
เมื่อเริ่มศึกษาธรรมใหม่ ๆ ก็กลัวตนเองจะกลายเป็นพวกลุ่มหลงธรรม
จึงทำทุกวิถีทาง ที่จะให้ตนเองศีลขาด ศีลไม่บริบูรณ์
เพราะไม่ชอบชีวิตแบบผู่ปฏิบัติธรรม ดูเหมือนเป็นการไร้สาระ หนีโลก ไม่ทันต่อโลก
อ่อนแอ อะไรทำนองนั้น หนอ
-----------------------
ปีต่อ ๆ มา
ปีต่อ ๆ มา
พัฒนาการทางธรรม ได้ค่อย ๆ พัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นลำดับ
จน ณ วันนี้ ยากยิ่งนักที่จะอธิบายให้ใครเข้าใจได้
นอกเสียจากว่า คน ๆ นั้น
ต้องผ่านประสบการณ์เหล่านั้น มาด้วยตนเอง หนอ
ผู้ปฏิบัติธรรมอย่างเข้มขั้น ทั้งหลาย
ที่เราท่าน อาจเรียกท่านว่า เป็น "ผู้ลุ่มหลง" ในธรรมนั้น
ดูภายนอกท่านอาจดูเหมือนเป็นคนอ่อนแอ เชื่องช้า ไม่ทันโลก
แต่ภายในนั้นตรงกันข้าม หนอ
อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
...ตัวตน ภิรมย์โลกย์...........วิปโยค สะพรั่งพลัน
สงคราม ประจำวัน..............ปะทุลั่น ณ ใจเรา
...ปัญญา ประจักษ์แจ้ง........พละแห่ง พระธรรมเนา
ตัดตน มิขลาดเขลา............ชนะเศร้า สงบจริง
*** วิปโยค ให้อ่าน วิ-ปะ-โยก