เจ้าเมืองลพบุรี (ก่อนทำเนียบ)
เจ้าเมือง คือหัวหน้าผู้ปกครองสูงสุดของเมือง เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ แล้วในปีพ.ศ.๒๔๗๖ จึงได้เปลี่ยนชื่อเรียกเจ้าเมืองเป็น ข้าหลวงประจำจังหวัด และต่อมาปีพ.ศ. ๒๔๙๕ ได้เปลี่ยนเป็นเรียกว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด มาจนถึงในปัจจุบัน ทำเนียบผู้ว่าราชการจังหวัด จึงควรเรียกว่า ทำเนียบเจ้าเมือง ข้าหลวงประจำจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีดั่งเช่นจังหวัดกาฬสินธุ์ตามทำเนียบเจ้าเมืองลพบุรี เริ่มมีเจ้าเมืองท่านแรก คือ พระยาพิสุทธิธรรมธาดา ดำรงตำแหน่งเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๒-๒๔๕๕ ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ช่วงเวลาที่ครองราชย์ พ.ศ.๒๔๑๑-๒๔๕๓) หลังจากที่ได้เริ่มมีการจัดรูปการปกครองส่วนภูมิภาคแบบยุโรป ในรูปมณฑลเทศาภิบาลขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๔๑ โดยมีหน่วยการปกครองเรียงลำดับจากใหญ่ไปหาเล็กดังนี้
มณฑล – เมือง(จังหวัด) – อำเภอ –ตำบล –หมู่บ้าน
มณฑล มีข้าหลวงเทศาภิบาล เป็นผู้ปกครอง เมือง มีเจ้าเมืองมีอำนาจหน้าที่ปกครองเมือง และหน่วยการปกครองตามลำดับจากเมืองลงไปตามลำดับ
ในปี พ.ศ.๒๔๕๘ ดินแดนสยามมีมณฑลอยู่ ๑๙ มณฑล ครอบคลุมพื้นที่เมืองจำนวน ๗๒ เมือง(เมืองเปลี่ยนเป็น จังหวัดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) อย่างไรก็ตามเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจตกต่ำ จึงทำให้หลายมณฑลถูกยุบรวมกันตั้งแต่ ปี พ.ศ.๒๔๖๘ ภายหลังจึงคงเหลืออยู่เพียง ๑๔ มณฑล ได้แก่
๑. กรุงเทพมหานคร๖. มณฑลนครราชสีมา๑๑. มณฑลภูเก็ต
๒. มณฑลจันทบุรี๗. มณฑลปราจีนบุรี๑๒. มณฑลราชบุรี
๓. มณฑลนครชัยศรี๘. มณฑลปัตตานี๑๓. มณฑลกรุงเก่า
๔. มณฑลนครสวรรค์๙. มณฑลพายัพ๑๔. มณฑลอุดรธานี
๕. มณฑลนครศรีธรรมราช๑๐. มณฑลพิษณุโลก
มณฑลกรุงเก่า ปกครอง ๙ เมือง คือ ๑. กรุงเก่า ๒. เมืองอ่างทอง ๓. เมืองสิงห์บุรี ๔. เมืองอินทร์บุรี ๕. เมืองพรหมบุรี ๖. เมืองลพบุรี ๗. เมืองสระบุรี ๘. เมืองปทุมธานี ๙. เมืองธัญบุรี
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๕ ได้มีการตราพระราชบัญญัติการบริหารราชการส่วนภูมิภาค พุทธศักราช ๒๔๗๖ รูปการปกครองมณฑลเทศาภิบาลได้ถูกยุบเลิกไปโดยพระราชบัญญัตินี้ จากนั้นจังหวัดได้กลายเป็นเขตการปกครองย่อยของประเทศไทยที่มีระดับสูงที่สุด
ประเด็นมีอยู่ว่า :เมืองลพบุรีมีเจ้าเมืองคนแรกในทำเนียบผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี ในปี พ.ศ.๒๔๔๒ แล้วก่อนปี พ.ศ.๒๔๔๒ เรามีเจ้าเมืองหรือไม่ จวน และ ที่ว่าราชการเมืองอยู่แห่งใด ?
เมื่อมีเจ้าเมืองท่านแรกใน ปี พ.ศ.๒๔๔๒ น่าจะได้รับบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ให้ใช้หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงให้ปรับปรุงซ่อมแซมในรัชสมัยของพระองค์ ซึ่งปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระนารายณ์ราชนิเวศน์ และต่อมาในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มาพัฒนาเมืองลพบุรีให้เป็นเมืองศูนย์การทหาร ได้ย้ายศูนย์ราชการอันมีศาลากลางจังหวัด และที่ว่าการอำเภอเมืองลพบุรี ไปไว้ทางตะวันออกของเมืองเก่าห่างไปประมาณ ๔ กม. ณ วงเวียนเทพสตรี ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในปัจจุบัน
เมืองลพบุรีเป็นเมืองที่เก่าแก่ก่อนสมัยอาณาจักรขอมเรืองอำนาจ ในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงสถาปนาเมืองลพบุรี เป็นราชธานีแห่งที่ ๒ รองจากกรุงศรีอยุธยา หากมองภูมิประเทศของเมืองลพบุรีในอดีตแล้ว จะเห็นว่าภูมิประเทศด้านริมสองฝากฝั่งแม่น้ำลพบุรี และลำน้ำบางขามเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ส่วนพื้นที่ด้านตะวันออก เป็นที่ราบสูง ป่าและเขา หากเราวิเคราะห์จากแนวคลอง ชัยนาท-ป่าสัก(คลองอนุศาสนนันท์) คลองส่งน้ำสายหลักฝั่งตะวันออกของเขื่อนเจ้าพระยา ที่ตัดผ่านพื้นที่จังหวัดลพบุรี ตั้งแต่เขตอำเภอบ้านหมี่ ผ่านอำเภอเมืองลพบุรี ไปสุดเขตพื้นที่จังหวัดลพบุรี ที่ตำบลโคกลำพาน กรมชลประทานจะขุดคลองในแนวที่ลุ่มจรดกับที่ดอน เพื่อใช้ความลาดเอียงของพื้นดิน ให้ความโน้มถ่วงของโลกกระจายน้ำลงสู่พื้นที่ลุ่มโดยวิธีธรรมชาติ หากเรามองย้อนกลับไปก่อนปี พ.ศ.๒๔๘๔ ที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม จะมาพัฒนาเมืองลพบุรีเป็นเมืองทหาร การอยู่อาศัยของประชาชนจะอาศัยที่ลุ่มที่มีน้ำท่วมถึง เหมาะแก่การประกอบอาชีพการเกษตรทำนาเท่านั้น หน้าแล้งก็ยังจับปลาในแม่น้ำ หนอง คลอง บึง เป็นอาหารกินได้ ดังนั้นในสมัยกรุงธนบุรี และสมัยรัชกาลที่ ๓ สมัยปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์ แม่ทัพไทยได้กวาดต้อนผู้คนลาวพวนมา ส่วนหนึ่งนำมาไว้ที่เมืองลพบุรี เพื่อมาเพิ่มจำนวนประชากรของเมืองลพบุรี เราคงไม่ให้มาแย่งพื้นที่อยู่อาศัยของคนไทยดั้งเดิมที่อยู่ในลุ่มน้ำลพบุรี และลำแม่น้ำบางขาม ได้แต่ให้อาศัยเกาะชายดอนตามแนวคลองชัยนาท-ป่าสัก ซึ่งคนไทยดั้งเดิมไม่ชอบอาศัยอยู่ ต่อมามีการเปิดใช้เขื่อนเจ้าพระยาในปี พ.ศ.๒๕๐๐ และขุดคลองส่งน้ำสายหลักที่เรียกว่าคลองชัยนาท-ป่าสักนี้แล้ว คนไทยเชื้อสายลาวพวน มาปลูกบ้านอยู่อาศัยเกาะชายดอนด้วยความยากเข็ญ หาผักหาปลากินก็ต้องลงไปแย่งหากินตามห้วยหนองคลองบึงในที่คนไทยดั้งเดิมอาศัยอยู่ ตั้งแต่ ปีพ.ศ.๒๕๐๐ ถึงปัจจุบัน พื้นที่ขอบชายดอนมีความอุดมสมบูรณ์ทั้งน้ำและผักปลา ในคลองส่งน้ำชัยนาท-ป่าสัก ไม่ต้องไปอาศัยหากินในพื้นที่ลุ่มอีก
ในยุคที่กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าครั้งที่ ๒ นั้น ในลุ่มแม่น้ำลพบุรีเป็นแดนที่อุดมสมบูรณ์ มีวัดร้างที่พม่าเผาทำลายอยู่มากมายเป็นหลักฐานประจักษ์พยานให้เราเห็น ผู้คนบนฝั่งแม่น้ำลพบุรีคงถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย บ้างก็ต้องอพยพหลบหนีเข้าป่าดงไปก็รอดตัว เมื่อถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่๔ เมืองลพบุรีคงมีประชากรไม่มากนัก เมืองลพบุรีจัดรูปการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาลแล้ว ในปี พ.ศ.๒๔๔๒ เมืองลพบุรีแบ่งการปกครองออกเป็น ๔ อำเภอ คือ
๑.อำเภอเมืองลพบุรี๓.อำเภอสระโบสถ์ (อำเภอโคกสำโรง)
๒.อำเภอสนามแจง (อำเภอบ้านหมี่)๔.อำเภอโพหวี (อำเภอท่าวุ้ง)
อำเภอชัยบาดาล ยังเป็นเมืองชัยบาดาลหัวเมืองชั้นโท ขึ้นกับเมืองนครราชสีมา ดังนั้นจะเห็นว่าเมืองลพบุรียังมีประชากรไม่มากนัก อำเภอก็มีเพียง ๔ อำเภอ ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบลุ่ม ส่วนพื้นที่ด้านตะวันออกหลังแนวขอบชายดอนของแนวคลองชัยนาท-ป่าสัก ในอดีตยังเป็นป่าเขาไม่มีคนอยู่อาศัย ผู้คนผ่านเข้าไปก็เป็นไข้ป่าผอมตัวเหลืองกลับมา
ที่ตั้งที่ว่าราชการเมืองลพบุรี และจวนเจ้าเมืองอยู่ที่ใดกันเล่า (บอกมาเสียทีอย่ายาวอยู่เลย)เอาละเข้าเรื่องแล้วครับ สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๔แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองลพบุรี เป็นแค่หัวเมืองจัตวา เจ้าเมืองมีบรรดาศักดิ์ที่ “พระนครพราหมณ์” ในสมัยตั้งมณฑลเทศาภิบาล ในปี พ.ศ. ๒๔๔๐ และต่อมาปี พ.ศ.๒๔๔๒ เมืองลพบุรีเริ่มจัดแบ่งการปกครองเป็น ๔ อำเภอ สำหรับอำเภอโพหวี นั้นตั้งอยู่ห่างจากที่ตั้งที่ว่าการเมืองลพบุรีเพียง ๔ กิโลเมตร ขณะนั้นที่ว่าราชการเมืองตั้งเหนือต้นสะตือใหญ่เยื้องฝั่งวัดเทพกุญชร อำเภอโพหวีตั้งอยู่ที่ศาลาตาหลวง ข้างวัดโพธิ์แก้ว(ด้านใต้)ตำบลโพธิ์ตลาดแก้ว เป็นสาเหตุขออ้างที่จะต้องย้ายอำเภอโพหวีไปตั้ง ณ สถานที่ใหม่ที่ตำบลท่าวุ้ง ด้านเหนือปากคลองมะขามเทศ เพื่อให้เป็นศูนย์ของตำบลต่างๆ ต่อจากนั้นเมื่อเมืองลพบุรียกฐานะเป็นหัวเมืองชั้นตรีแล้ว เจ้าเมืองตั้งใหม่มีบรรดาศักดิ์ที่ “พระยาสุจริตรักษาลพบุรานุรัก-พิทักษ์ทวีชาติภูมิ” ตำแหน่งเจ้าเมือง ส่วนปลัดเมืองเดิมนามว่า ”ขุนบุรีราชรักษา” ตั้งใหม่เป็น “พระนครพราหมณ์”
ในยุคก่อนปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล การปกครองเมืองส่วนใหญ่จะสืบทอดทางสายเลือด หากมีบุตรชายของเจ้าเมืองก็ฝึกหัดราชการกันไป จนมีประสบการณ์ เมื่อเจ้าเมืองชราภาพหรือชิ้นชีพตักษัยลง ผู้มีอาวุโสรองก็มักเป็นบุตร หลาน หรือบุตรเขย พระเจ้าแผ่นดินจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองต่อไป ที่ว่าราชการเมืองก็คือบ้านของเจ้าเมือง หรือจวนของเจ้าเมืองนั่นเอง ซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ทั้งที่ดินและบ้านช่อง
กรณีเมืองลพบุรี ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่จะย้ายศาลาที่ว่าการเมืองไปอยู่ ณ หมู่พระที่นั่งพิมานมงกุฎ ในพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระนารายณ์ราชนิเวศน์(ปัจจุบัน) ซึ่งเป็นสมบัติของพระเจ้าแผ่นดิน หรือสมบัติของแผ่นดิน จึงไม่จำเป็นต้องใช้สมบัติที่ดินหรือจวนและที่ว่าราชการเมืองของเจ้าเมืองเดิมอีก ทรัพย์สมบัติที่ดินจึงตกทอดเป็นของทายาทที่ได้รับช่วงมรดกตกทอดกันไป
เชิงอรรถ : เมื่อสมัยผมยังเป็นเด็ก ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๙๔ ถึง ปี พ.ศ.๒๔๙๙ เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๑-๖ ที่โรงเรียนวินิตศึกษา พักอาศัยเป็นเด็กวัดกวิศราราม ยุคนั้นต้องอาศัยการสัญจรทางน้ำโดยเรือยนต์ในฤดูน้ำหลาก ผมนั่งเรือยนต์ผ่านฝั่งซ้ายของแม่น้ำลพบุรี เยื้องวัดเทพกุญชร จะเห็นบ้านหลังใหญ่ครึ่งตึกครึ่งไม้เป็นสง่า อยู่ในสวนป่ามะม่วงที่ปลูกเป็นแถวเป็นแนว ไม่น่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของคนธรรมดาสามัญ มีความสงสัยมาตลอด จนผ่านมาถึงเมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ โอกาสที่ไปเยี่ยมพื้นที่ดังกล่าวมานั้น ผมได้รับข้อมูลรายละเอียดจาก พ.อ.สมิต อุดมเดชาณัติ ว่า ณ พื้นที่ที่ผมเคยพบเห็นทางเรือเมื่อ ๖๐ ปี ก่อนนั้น คือจวนและที่ว่าราชการเมืองของเมืองลพบุรีในอดีตนั่นเอง ขณะนี้เป็นพื้นที่รกทึบ เต็มไปด้วยต้นกระถินใหญ่ และไม้นานาชนิด บ้านใหญ่ครึ่งตึกครึ่งไม้ถูกรื้อทิ้ง ท่าน พ.อ.สมิตเล่าให้ฟังว่า เมื่อ ประมาณ ๔๐ ปี ที่ผ่านมาท่านเคยรายงานกรมศิลปากร ขอสนับสนุนงบประมาณซ่อมแซมจวนและที่ว่าราชการเมืองลพบุรีหลังเก่านี้ ไม่ได้รับการสนับสนุน ต่อมาภายหลังทรุดโทรมมากเกินกำลังทรัพย์ที่จะซ่อมแซม ท่านจึงรื้อทิ้งไป เหลือแต่ซากแนวอิฐบนดินไว้ให้ดูและชมได้ ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน..../
จวนและที่ว่าราชการเมืองลพบุรี ริมแม่น้ำลพบุรี หมู่ที่ ๖ ตำบลพรหมาสตร์
ศาลาว่าราชการเมืองลพบุรี ณ พระที่นั่งพิมานมงกุฎ วังพระนารายณ์ราชนิเวศน์
ศาลากลางจังหวัดลพบุรี ณ วงเวียนเทพสตรี
พระนครพราหมณ์ และ พระนครพระราม ในกฎหมายตราสามดวงส่วนที่ว่าด้วย “พระไอยการนาทหารหัวเมือง” ในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกล่าวว่า “ออกพระนครพราหม พระลบบุรีย ขึ้นประแดงเสนาฎขวา” แสดงว่าตำแหน่งเจ้าเมืองลพบุรีในเวลานั้นมีราชทินนามว่า “ออกพระนครพราหม” อย่างไรก็ตามราชทินนาม “ออกพระนครพราหม” น่าจะคัดลอกผิดจากราชทินนามว่า“ออกพระนครพระราม”ดังจะได้กล่าวถึงต่อไป เชิงอรรถ : เมืองลพบุรีเคยมีเจ้าเมืองในทำเนียบท่านที่ ๓ มีบรรดาศักดิ์ที่ พระยานครพระราม น่าคิดว่า บรรดาศักดิ์ที่ พระนครพระราม ก็น่าจะเป็นไปได้ส่วนบรรดาศักดิ์ที่ พระนครพราหมณ์ ฟังดูก็น่าจะขัดแย้งหรือขัดหูอยู่ ขอนำเสนอเป็นข้อคิด -------------------------------------------
|
ไม่มีความเห็น