ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จพระดำเนินทางไกล ระหว่างเมืองอุกกัฏฐะกับเมืองเสตัพยะ แม้โทณพราหมณ์ก็เดินทางไกลในเวลานั้นเช่นกัน โทณพราหมณ์ได้เห็นรูปจักรในรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ประกอบด้วยซี่กำนับ ๑,๐๐๐ มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยลักษณาการพร้อมสรรพ ครั้นเห็นแล้ว ได้มีความคิดว่า น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมี รอยเท้าเหล่านี้ ชะรอยจักไม่ใช่รอยเท้ามนุษย์
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จแวะไปประทับอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง ทรงคู้บัลลังก์ ตั้งพระกายตรง ดำรงพระสติไว้จำเพาะหน้า ฝ่ายโทณพราหมณ์นั้นเดินตามรอยพระบาทไป พบพระองค์ดูผุดผ่องน่าเลื่อมใส อินทรีย์สงบ มีพระทัยอันสงบอันได้รับการฝึกฝนอย่างยอดเยี่ยม มีตนฝึกแล้ว คุ้มครองแล้ว เป็นผู้ประเสริฐ ครั้นแล้วจึงเข้าไปใกล้ แล้วทูลถามว่า “ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นเทวดาหรือ ?”
พระพุทธเจ้า “เราไม่ใช่เทวดา พราหมณ์”
โทณพราหมณ์ “ท่านเป็นคนธรรพ์หรือ ?”
พระพุทธเจ้า “เราไม่ใช่คนธรรพ์ พราหมณ์”
โทณพราหมณ์ “ท่านเป็นยักษ์หรือ ?”
พระพุทธเจ้า “เราไม่ใช่ยักษ์ พราหมณ์”
โทณพราหมณ์ “ถ้าอย่างนั้น ท่านคงเป็นมนุษย์”
พระพุทธเจ้า “เราไม่ใช่มนุษย์ พราหมณ์”
โทณพราหมณ์ “ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าถามท่านว่าท่านเป็นอะไร ท่านก็ตอบว่าไม่ใช่ทุกสิ่ง ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นใครกันแน่ ?”
พระพุทธเจ้า “ดูก่อนพราหมณ์ อาสวะเหล่าใดอันพึงให้เราเป็นเทวดา เป็นคนธรรพ์ เป็นยักษ์ เป็นมนุษย์ อาสวะเหล่านั้นอันเราละได้แล้ว มีมูลอันขาดแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วนแล้ว มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปอีกเป็นธรรมดา นี่แน่ะพราหมณ์ ดอกอุบลก็ดี ดอกปทุมก็ดี ดอกบุณฑริกก็ดี เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ แต่ขึ้นมาตั้งอยู่พ้นน้ำ น้ำไม่เข้าไปกำซาบฉันใด เราก็ฉันนั้น เกิดในโลก เจริญเติบใหญ่มาในโลก แต่เราอยู่เหนือโลก โลกไม่เข้ามากำซาบได้ แน่ะพราหมณ์ ท่านจงจำเราไว้ว่า เราเป็นพุทธะ”
จากนั้น พระพุทธเจ้าได้ตรัสต่อไปว่า
“เราจะพึงได้กำเนิดเป็นเทวดา หรือว่าเป็นคนธรรพ์ผู้เหาะเหินได้เพราะอาสวะใด
เราพึงได้อัตภาพยักษ์และอัตภาพมนุษย์เพราะอาสวะใด อาสวะเหล่านั้นของเราสิ้นไป
แล้ว เราทำลาย ทำให้ขาดสายแล้ว พราหมณ์ ดอกบัวขึ้นมาอยู่พ้นน้ำ น้ำย่อมไม่
กำซาบเข้าไปได้ฉันใด เราก็ฉันนั้น โลกไม่เข้ามากำซาบใจเราได้ เพราะฉะนั้น เราจึง
เป็นพุทธะ”
ไม่มีความเห็น