ไฉน
นาย ประกาศิต ปอ ประกอบผล

ประเภทของพระพุทธเจ้า



พระโพธิสัตว์ ผู้ตั้งความปรารถนาบำเพ็ญบารมีเพื่อ “พระพุทธภูมิ” นั้น ความปรารถนาเพื่อจักได้พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณนั้น ย่อมมีมโนมั่นคงในหฤทัยไม่หวั่นไหวในพระพุทธภูมิ ถึงแม้จะถือกำเนิดในภพภูมิที่มิใช่มนุษย์ เช่นกำเนิดในสัตว์เดียรัจฉาน ก็ยังรักษาความตั้งใจอันมั่นคงเด็ดเดี่ยวต่อพุทธภูมิโดยไม่เปลี่ยนแปลงด้วยพระอุตสาหวิริยะ อุปสรรค์เครื่องทดสอบทุกอย่างที่เกิดมิอาจเปลี่ยนแปลงความมุ่งมั่นตั้งใจต่อพุทธภูมิได้ แม้แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือชีวิตของตนก็ยอมสละได้ นั่นเป็นน้ำใจพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญพระบารมีเพื่อพระโพธิญาณแห่งการตรัสรู้เป็น “พระพุทธเจ้า” นั้น แบ่งประเภทของการสร้างสมบารมีแห่งพระพุทธเจ้าเป็น ๓ ประเภท คือ

๑. พระปัญญาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างสมบารมีด้าน “ปัญญา” อย่างแก่กล้าแต่มีพระศรัทธาน้อย จึงใช้เวลาสั่งสมบารมีน้อยกว่าพระพุทธเจ้าอีกสองประเภท ซึ่งเวลาในการสั่งสมพระบารมีนั้นแบ่งเป็น ๓ ระยะ ดังนี้

ระยะที่ ๑ เริ่มแรกตั้งดำริในพระหฤทัยปรารถนาว่า “เราจักเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง” แต่ยังไม่ได้ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจานั้นออกมา ต้องใช้เวลาในการอบรมบ่มพระบารมีนานถึง ๗ อสงไขย

ระยะที่ ๒ ต่อจากนั้นก็ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจาปรารถนาว่า “เราจักตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้าให้จงได้” ดังนี้ก็ต้องใช้เวลาอบรมบ่มพระบารมีอีก ๙ อสงไขย

ระยะที่ ๓ จึงได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งว่า “จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน” แล้วก็ใช้เวลาอบรมพระบารมีธรรมอีก ๔ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป

ดังนั้น พระพุทธเจ้าประเภท พระปัญญาธิกพุทธเจ้า นี้ ต้องใช้เวลาในการอบรมสั่งสมพระบารมีรวมเป็นเวลาทั้งหมด ๒๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป หากพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกพุทธเจ้านี้ เมื่อได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว หากแม้พระองค์ท่านจะละความปรารถนาเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว กลับมามีพระหฤทัยน้อมไปในทางสาวกโพธิญาณ คือปรารถนาเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานในชาตินั้น เป็นแต่เพียงกลับใจดังนี้ แล้วตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์เฉพาะพระพักตร์แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พอสดับพระธรรมเทศนาบาทพระคาถาที่ ๓ ยังไม่ทันจบลง พระองค์ก็จักได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายทันที ทั้งนี้ด้วยทรงมีพระปัญญาแก่กล้า สามารถบรรลุมรรคผลธรรมวิเศษอย่างรวดเร็ว จึงมีพระนามเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อุคฆฏิตัญญูโพธิสัตว์” หรือ องค์พระโพธิสัตว์ผู้มีปัญญาคมกล้า สามารถรู้ธรรมได้อย่างรวดเร็

๒. พระสัทธาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างสมอบรมบารมีด้าน “ศรัทธา” อย่างแก่กล้ายิ่งนัก แต่มีพระปัญญาปานกลาง จึงใช้เวลาสั่งสมพระบารมีอย่างปานกลาง ซึ่งเวลาในการสั่งสมพระบารมีนั้นแบ่งเป็น ๓ ระยะ ดังนี้

ระยะที่ ๑ เริ่มแรกตั้งดำริในพระหฤทัยปรารถนาว่า “เราจักเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง” แต่ยังไม่ได้ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจานั้นออกมา ต้องใช้เวลาในการอบรมบ่มพระบารมีนานถึง ๑๔ อสงไขย

ระยะที่ ๒ ต่อจากนั้นก็ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจาปรารถนาว่า “เราจักตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาลเบื้องหน้าให้จงได้” ดังนี้ก็ต้องใช้เวลาอบรมบ่มพระบารมีอีก ๑๘ อสงไขย

ระยะที่ ๓ จึงได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งว่า “จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน” แล้วก็ใช้เวลาอบรมพระบารมีธรรมอีก ๘ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป

ดังนั้น พระพุทธเจ้าประเภท พระสัทธาธิกพุทธเจ้านี้ต้องใช้เวลาในการอบรมสั่งสมพระบารมีรวมเป็นเวลาทั้งหมด ๔๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป หากพระพุทธเจ้าประเภทสัทธาธิกพุทธเจ้านี้ เมื่อได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว หากแม้พระองค์ท่านจะละความปรารถนาเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว กลับมามีพระหฤทัยน้อมไปในทางสาวกโพธิญาณ คือปรารถนาเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานในชาตินั้น เป็นแต่เพียงกลับใจดังนี้ แล้วตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์เฉพาะพระพักตร์แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พอสดับพระธรรมเทศนาบาทพระคาถาที่ ๔ ยังไม่ทันจบลง พระองค์ก็จักได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลายได้อย่างปานกลาง สามารถบรรลุมรรคผลธรรมวิเศษได้อย่างไม่เร็วไม่ช้า จึงมีพระนามเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วิปจิตัญญูโพธิสัตว์” หรือ องค์พระโพธิสัตว์ผู้มีปัญญาเป็นมัธยม สามารถรู้ธรรมโดยไม่เร็วไม่ช้า

๓. พระวิริยาธิกพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่ทรงสร้างสมอบรมบารมีด้าน “ความเพียร” อย่างแก่กล้าทรงมีพระวิริยะยิ่งนัก แต่ทรงมีพระปัญญาน้อยกว่า จึงใช้เวลาสั่งสมพระบารมีอย่างยาวนานมากกว่าพระพุทธเจ้าประเภทอื่น ซึ่งเวลาในการสั่งสมพระบารมีนั้นแบ่งเป็น ๓ ระยะ ดังนี้

ระยะที่ ๑ แรกตั้งดำริในพระหฤทัยปรารถนาว่า “เราจักเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง” แต่ยังไม่ได้ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจานั้นออกมา ต้องใช้เวลาในการอบรมบ่มพระบารมีนานถึง ๒๘ อสงไขย

ระยะที่ ๒ ต่อจากนั้นก็ออกพระโอษฐ์เปล่งพระวาจาปรารถนาว่า “เราจักตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้าให้จงได้” ดังนี้ก็ต้องใช้เวลาอบรมบ่มพระบารมีอีก ๓๖ อสงไขย

ระยะที่ ๓ จึงได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งว่า “จักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน” แล้วก็ใช้เวลาอบรมพระบารมีธรรมอีก ๑๖ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป

ดังนั้น พระพุทธเจ้าประเภท พระวิริยาธิกพุทธเจ้านี้ต้องใช้เวลาในการอบรมสั่งสมพระบารมีรวมเป็นเวลาทั้งหมด ๘๐ อสงไขย กับอีกหนึ่งแสนมหากัป หากพระพุทธเจ้าประเภทวิริยาธิกพุทธเจ้านี้ เมื่อได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าแล้ว หากแม้พระองค์ท่านจะละความปรารถนาเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว กลับมามีพระหฤทัยน้อมไปในทางสาวกโพธิญาณ คือปรารถนาเป็นพระอรหันต์และปรินิพพานในชาตินั้น เป็นแต่เพียงกลับใจดังนี้ แล้วตั้งใจสดับพระสัทธรรมเทศนาจากพระโอษฐ์เฉพาะพระพักตร์แห่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พอสดับพระธรรมเทศนาบาทพระคาถาที่ ๔ จบลง พระองค์ก็จักได้สำเร็จเป็นพระอรหันตสาวก พร้อมกับปฏิสัมภิทาญาณทั้งหลาย สามารถบรรลุมรรคผลธรรมวิเศษได้ช้ากว่าพระโพธิสัตว์ประเภทอื่น จึงมีพระนามเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เนยยโพธิสัตว์” หรือ องค์พระโพธิสัตว์ผู้มีปัญญาหย่อน สามารถรู้ธรรมได้ช้ากว่าพระโพธิสัตว์ประเภทอื่น

(ค้นเพิ่มเติมจากพุทธวงศ์ และมุนีนาถทีปนี หรือเวปไซที่เกี่ยวข้อง)

หมายเลขบันทึก: 591224เขียนเมื่อ 18 มิถุนายน 2015 09:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 มิถุนายน 2015 09:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท