ประสบการณ์ทางวิญญาณแห่งศิษย์พุทธะ ตอนที่11ครั้งหนึ่งในชีวิตที่มีโอกาสสัมผัสกับหลวงปู่


เช้าวันใหม่หลังจากบิณฑบาตและฉันเช้าแล้ว พวกเราก็เก็บ บริขาร ออกเดินทางเข้าป่าลึก ตลอดทางท่านจะชี้ให้ดูนก ดูต้นไม้ที่แปลกๆ พร้อมกับมีกลิ่นดอกกล้วยไม้ป่าหอมโชยมาเป็นระยะๆ บรรยากาศเย็นสบาย พอเดินมาได้ครึ่งวัน ก็พ้นป่าชุ่มชื้น เข้าสู่ป่าร้อน ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ถูกบุกรุก ทำลายจากน้ำมือของนายทุนที่สมคบกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ พาชาวบ้านที่เป็น กะเหรี่ยง เป็นมอญเข้ามาขุดหาแร่ดีบุก ขุดจนธรรมชาติของป่าถูกทำลายเป็นหย่อม ๆ เดินไปก็ได้ยินเสียงหลวงปู่พูดขึ้นว่า "โถ ช่างน่าสงสารธรรมชาติเสียจริงๆ คนนี่มันพยายามทำตนเนรคุณแก่ธรรมชาติที่เปรียบเสมือนมารดาบิดา ที่มีอุปการะต่อชีวิตของสรรพสัตว์และตัวคนเอง ดูช่างไม่มีเมตตา เอาเสียเลย"

แล้วท่านได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของธรรมชาติที่บริสุทธิ์กับธรรมชาติที่ถูกทำลายพร้อมกับบอกพวกเราว่า "ถ้าขืนคนยังมีนิสัยชอบทำลายเช่นนี้ อีกหน่อยคนนั่นแหละจะมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากขึ้นอีก" หลวงปู่ท่านพาพวกเราเดินเข้ามาสู่ป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ จนเวลาล่วงเลยมาถึงใกล้จะมืดแล้ว ท่าน ก็หันมาสั่งให้หยุดหาที่ปักกลดใกล้ๆ แหล่งน้ำ แล้วท่านก็สั่งให้เณรใช้บาตรต้มน้ำ เพื่อจะทำน้ำปานะถวายพระ เสร็จแล้วท่านก็พาพวกเราไปสรงน้ำในลำธารใกล้ๆ ท่านชี้ให้ดูรอยเท้าสัตว์ต่างๆ ที่มากินน้ำในลำธาร

หลังจากสรงน้ำเสร็จ พวกเราก็มาพร้อมกันที่กลดของหลวง ปู่เพื่อสวดมนต์เย็นและฟังโอวาท หลวงปู่ท่านพูดถึงพลังและอำนาจของป่าคือความมืด และความสงบ ท่านสอนว่าถ้าต้องการชนะอำนาจและพลังของป่า เราทั้งหลายก็ต้องสยบความวุ่นวายภายในใจให้กลายเป็นความสว่างของจิต ทำได้ดังนี้ เราก็จะอยู่ในป่าได้ ดังประหนึ่งอยู่ในบ้าน

สุดท้ายท่านยังมีเมตตาเดินขีดเส้นอาคม เพื่อป้องกันภัยอันตรายจากสัตว์เล็กสัตว์น้อยใหญ่ หรือแม้แต่ภูตผีปีศาจ และท่านยังบอกว่าคืนนี้พวกเราจะนอนหลับฝันดี ก่อนท่านจะเดินกลับกลดของท่านๆ ยังหันมาสั่งว่า "อย่าลืมทำสมาธิแผ่เมตตาก่อนนอนนะ" คืนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกจะนอนไม่ค่อยหลับ มันครึ่งหลับครึ่งตื่นยังไงพิกล หูก็ได้ยินเสียงผู้คนกำลังสนทนากันว่า "มาเร็วพวกเรา นานๆ จะได้ฟังธรรมจากพระมหาโพธิสัตว์สักครั้ง ถ้าไม่รีบ มาฟังตอนนี้ ยังไม่รู้ว่าชั่วชีวิตของพวกเราจะได้มีโอกาสฟังธรรมจากท่านอีกหรือไม่" แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงชักชวนกัน ในเสียงนั้นมีทั้งผู้หญิงผู้ชาย ครู่ต่อมาหูของข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงของ หลวงปู่กำลังสนทนาอยู่กับใครก็ไม่ทราบ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าจะม่อยหลับไปมารู้สึกตัวอีกที ก็ได้ยินเสียงมโหรีปี่พาทย์ดังแว่วเข้าหูมา จะว่าเป็นเสียงที่ดัง น่าจะรำคาญก็ไม่รำคาญ แถมยังดังพอเหมาะนุ่มนวลหูเสียด้วยซ้ำ แล้วข้าพเจ้าก็หลับต่อด้วยความง่วงนอนบวกกับอากาศก็เย็นด้วย

เช้าขึ้นก็มีพระถามหลวงปู่ว่า "เมื่อคืนพูดอยู่กับใคร" ท่านตอบว่า "อ้อพวกเจ้าของที่เค้ามาขอฟังธรรม"

แล้วท่านก็เดินไปทำธุระส่วนตัว หลังจากฉันอาหารมื้อแรกและมื้อเดียวของวันนี้แล้วท่านก็สั่งให้เก็บสัมภาระแล้วออกเดินทางต่อ คราวนี้ท่านให้พระเณรนำหน้าท่าน ท่านเดินตามหลัง เดินมาได้พักใหญ่ ท่านก็เดินแซงแถวพวกเราขึ้นมา พร้อมกับพูดว่า "พวกมึงเมื่อคืนนี้แอบดูดบุหรี่ กูเคยบอกแล้ว ว่า ถ้ากูได้กลิ่นบุหรี่เมื่อไหร่ กูจะทิ้งพวกมึงไว้ในป่า จะได้รู้สึกเสียบ้าง" ว่าแล้วท่านก็เดินนำแถวพวกเราออกไป ท่านเดินเร็วมากทั้งๆ ที่มีทั้งกลดและบาตรซึ่งภายในก็บรรจุสัมภาระจนเต็ม แต่ท่านก็เดินยังกับวิ่ง ยิ่งห่างพวกเราไปทุกที

ขณะที่พระทั้งหลายกำลังเป็นงงอยู่นั้น ข้าพเจ้าและเพื่อนเณร ได้พยายามวิ่งตามท่านไป ก่อนที่ท่านจะหายเข้าไปในป่าทึบ แต่ให้วิ่งยังไงก็ไม่ทันท่านอยู่ดี จนเพื่อนเณรที่อยู่ด้านหลังข้าพเจ้าต้องทิ้งสัมภาระบางอย่าง เพื่อจะทำตัวให้เบาจะได้วิ่งตามหลวงปู่ให้ทัน

พวกเราตามหาท่านจนอ่อนใจ และเหนื่อยล้าอย่างสาหัส ใจ ก็กลัวว่าจะไม่ได้พบหลวงปู่ อีกใจก็กลัวว่าจะต้องหลงอยู่ในป่า จะต้องได้รับอันตรายจากป่าเป็นแน่ และที่กลัวมากก็คือเวลาได้ล่วงเลยมามากแล้ว ประเดี๋ยวพระอาทิตย์ก็จะตกดิน ความมืดได้เริ่มคืบคลานเข้ามา เลยทำให้หวาดผวาไปร้อยแปด กลุ่มของพระตามมาเจอกลุ่มข้าพเจ้าพอดี เออค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย ความที่ข้าพเจ้าเหนื่อยและขาดสติ พอเห็นหน้าพระทั้งสามคือ พระดำรงพระไพศาล พระหมี ข้าพเจ้าก็โพล่งขึ้นมาด้วยอารมณ์ว่า "ผมบอกพวกหลวงพี่แล้วว่าอย่าเอาบุหรี่ติดตัวมาด้วย ให้เลิกเสียก็ไม่เลิก แล้วทีนี้จะทำยังไง หลวงปู่หนีพวกเราไปแล้ว" คุณหมอชฎาวุฒิได้พูดขึ้นว่า "เมื่อคืนนี้หลวงพี่ดูดบุหรี่กันหรือ" พระดำรงก็ได้พูดว่า "ตั้งแต่มาธุดงค์ก็เพิ่งจะดูดบุหรี่เมื่อคืนนี้แหละ และก็ดูดยังไม่หมดมวนด้วยซ้ำ มวนหนึ่งแบ่งกันดูด 3 องค์ ไม่รู้ว่า หลวงปู่ท่านจะทราบได้ไง"

พระไพศาลพูดขึ้นว่า "เหตุการณ์มาถึงอย่างนี้แล้ว เรามาช่วยกันแก้ปัญหาดีกว่า ผมคิดว่าเราไปตามหาหลวงปู่กันก่อนที่จะมืด ท่านคงไม่ไปไหนไกลหรอก อย่างน้อยในกลุ่มพวกเรา ก็ยังมีผู้ที่ไม่ได้ดูดบุหรี่อยู่อีกหลายคน ท่านคงไม่ทิ้งพวกเราไปทั้งหมดหรอก" ว่าแล้วก็พากันไปตามหาหลวงปู่ เดินมาได้ ประมาณชั่วโมงเศษ ก็มองเห็นธารน้ำ พวกเราเดินตรงไปที่ลำธารน้ำนั่น ได้พบหลวงปู่ท่านกำลังสรงน้ำอยู่อย่างสบายอารมณ์ พระเณรทั้งหมดได้นั่งคุกเข่าลงกราบ ท่านได้ทักว่า "มากันแล้วหรือ ไปเตรียมหาที่ปักกลด คืนนี้เราจะพักกันอยู่บริเวณลำธารนี้" แต่ท่านได้กำชับว่า ให้ปักกลดใกล้ๆ กัน พร้อมกับชี้ให้พวกเราดูรอยเท้าเสือที่บริเวณลำธาร เป็นรอยเท้าที่ใหญ่มาก ประมาณเท่าฝ่ามือ รีบจัดที่พักให้เสร็จไวๆ จะได้มาสรงน้ำก่อนที่จะมืด ข้าพเจ้าและเพื่อนเณรยังไม่ได้สรงน้ำ เพราะต้องรอให้พระได้สรงเสร็จก่อน หลวงปู่ท่านได้สั่งให้เณรและคุณหมอไปช่วยกันหาฟืนมากองไว้ 4 กอง รอบกลดที่พักของพวกเรา ท่านบอกว่าเอาไว้จุดตอนนอน คืนนี้อากาศจะเย็นกว่าปกติ รวมทั้งจะได้ทำ ให้สัตว์ร้ายไม่กล้าเข้ามาใกล้กลดด้วย ส่วนท่านได้แยกไปปักกลดออกห่างจากพวกเราไปพอประมาณ

คืนนั้นหลังจากสวดมนต์ทำสมาธิแล้ว ท่านได้กล่าวเตือนพวกที่ดูดบุหรี่ ให้ได้รู้ว่าที่จริงท่านคิดจะทิ้งให้พวกเราอยู่ในป่า แล้ว ท่านจะเดินไปทุ่งนามอญคนเดียว แต่พอมาเห็นรอยตีนเสือก็เกรงว่าพวกเราจะไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ทำผิดจะพลอยซวยไปด้วยเป็นการไม่ควร ท่านจึงมานั่งรออยู่ที่ริมลำธารนี้ ต่อไปนี้อย่าให้ท่านได้กลิ่นบุหรี่อีก แล้วท่านก็ให้พวกเราไปพักผ่อนที่กลด พร้อมทั้งกำชับว่าอย่าลืมจุดไฟเอาไว้สี่ทิศรอบกลดล่ะ จะไปขับถ่ายก็ต้องปลุกเพื่อนไปด้วย อย่าออกไปไหนคนเดียวตอนดึก

พวกเรากลับมาที่กลดก็มาช่วยกันจุดไฟ ตามที่หลวงปู่ท่านสั่ง เสร็จแล้วก็ยังนั่งคุย กันถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในวันนี้ ต่างคนต่างก็พูดกันว่า ทำไมหลวงปู่ท่านจึงเดินได้เร็วนัก สังเกตดูเหมือนกับท่านมิได้เดิน เห็นเหมือนกับท่านพลิ้วลอยไป ดูคล้ายกับเดินเท้าไม่ติดดิน

เช้าวันใหม่ วันนี้อากาศสดใส พวกเราตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียง ไก่ป่าขัน ระคนไปกับเสียงสวดมนต์เช้าของหลวงปู่ ดูว่าวันนี้พวกเราจะตื่นสาย อาจเพราะคงเพลียจากการวิ่งไล่ตามหลวงปู่ และคุยกันดึกด้วย เช้าวันนี้หลวงปู่ท่านบอกกับพวกเราว่า ข้างหน้าคงจะมีบ้าน ชาวป่าอยู่บ้าง เราจะไปฉันข้าวที่นั่น หลังจากทำภาระส่วนตัวเรียบร้อย ทุกคนได้จัดแจงเก็บสัมภาระออกเดิน ทางตามหลวงปู่ คราวนี้ดูท่านเดินอย่างสบาย แต่มั่นคงทุกย่างก้าวเดินมาได้สัก 3 ชั่วโมง จึงได้พบบ้านคนจริงๆ ปลูกกระท่อมเล็กๆ อยู่ติดกัน ใกล้กันกับลำธารน้ำมีอยู่ 3-4 หลัง มีเด็กวิ่งเล่นอยู่ลานหน้าบ้าน เมื่อพวกเราหันมาเห็น ก็ร้องบอกพ่อแม่เป็นภาษามอญ พ่อแม่พวกเค้าจึงออกมา เห็นว่าเป็นพระ พวกผู้ชายจึงมานิมนต์ให้พวกเราพักอยู่ที่นี่ก่อน แล้วชาวบ้านก็ถามว่า พระคุณเจ้าฉันอาหารมาแล้วหรือยัง หลวงปู่ตอบว่ายังจ้ะ ชาวบ้านจึงนิมนต์ให้พวกเราฉันอาหาร โดยจัดข้าวเหนียว พร้อมกับไก่ป่าย่าง แล้วยังมีเนื้อแห้งตากแดด พร้อม ด้วยหัวไชโป๊วเค็ม หลวงปู่ท่านสั่งห้ามพระเณรฉันเนื้อสัตว์ป่า ให้พวกเราฉันแต่หัวไชโป๊วเค็ม โดยท่านให้เหตุผลว่า "เรามาอาศัยอยู่ในป่า ป่า ถือว่าเป็นบ้านของสัตว์ทั้งปวง เราไม่ควรจะไปกินเนื้อของ เจ้าของบ้าน เพราะถ้าเรากินเข้าไปแม้เพียงน้อยนิด กลิ่นเนื้อของสัตว์ป่านั้นก็จะติดตัวเราไปจนข้ามวันข้ามคืน สัตว์ทุกตัวต้องมีญาติ เมื่อญาติได้กลิ่นญาติจากกายเรา มันก็จะคิดจองเวรกับเรา เราก็จะหาความสงบสุขไม่ได้จากป่านี้เลย"

ชาวบ้านที่นี่เป็นชนเผ่ามอญที่อพยพเข้าเมืองมา เค้าเล่าให้เราฟังว่า พวกเค้าเคยไปรับจ้างขุดแร่ให้พวกนายทุน แต่ถูกนายทุนเอาเปรียบ ขุดแร่ได้ไม่จ่ายเงินบ้าง จ่ายไม่ตรงเวลาบ้าง บางครั้งจ่ายแล้วก็มาชวนเล่นการพนัน จนทำให้พวกเค้าเสียการพนันจนหมดตัว ต้องกลับไปขุดแร่ใหม่ เป็นเช่นนี้จนทนไม่ไหว บางส่วนก็หนีไปอยู่ที่อื่น บางส่วนก็ถูกนายทุนหรือเพื่อนคนงานด้วยกันฆ่าทิ้งเสียบ้าง ส่วนที่ไม่ถูกฆ่าก็จะไม่ไปขุดแร่อีก ก็หนีออกมาหาที่อยู่เอง ทำมาหากินโดยการหาของป่า ไปแลกข้าวแลกยาในหมู่บ้านในเมือง ก็พออยู่ได้ไม่ต้องใช้เงิน หลวงปู่ท่านได้กล่าวชมว่า "ดีแล้วหละคิดถูกแล้ว คนเรามีชีวิตอยู่ก็เพียงแค่กินให้อิ่ม นอนให้หลับ แล้วก็ทำสาระให้ได้ แค่นี้ก็น่าจะพอ แล้ว"

ชาวบ้านนิมนต์ให้พระเณรค้างอยู่ที่บ้านนี้คืนหนึ่ง โดยยกบ้านกระต๊อบไม้ไผ่หลังใหญ่ให้หลวงปู่ได้พัก หลวงปู่ท่านได้ถามว่า "อ้าว แล้วพวกโยมจะไปนอนที่ไหนกันหละ" ชาวบ้านตอบว่า เดิมทีบ้านหลังนี้ก็ไม่มีคนนอนอยู่แล้ว พวกเค้าสร้างเอาไว้รับรองแขกที่ผ่านมาเยือนเท่านั้น ถือว่าเป็นประเพณีของพวกเค้าอยู่แล้ว ที่แต่ละหมู่บ้านจะต้องมีเรือนว่างเอาไว้ต้อนรับแขก เมื่อทราบดังนั้นหลวงปู่ท่านก็รับ แล้วก็บอกว่า "วันนี้พวกเราจะกางกลดในบ้านกัน พวกเค้าจะได้อานิสงส์ผลบุญในครั้งนี้ด้วย"

หลวงปู่ท่านถามชาวบ้านที่เป็นมอญว่า "รู้จักเทือกเขาคนึงและทุ่งนามอญไหม"ชาวบ้านบอกว่าเคยได้ยินเหมือนกัน แต่ไม่มีใครเคยเข้าไปถึง ก็พอจะรู้ทางที่จะไปเขาคนึง เมื่อไปถึงเขาคนึง ก็จะถึงทางเข้าทุ่งนามอญเอง หลวงปู่ขอให้ชาวบ้านบอกทิศทางด้วย

เช้าวันรุ่งขึ้นจะออกเดินทางแต่เช้า ระหว่างที่พักอยู่ที่หมู่บ้าน มอญนี้ พระดำรงและพระไพศาล ได้เข้าไปพูดคุยกับพวกชาวบ้านอยู่นาน พอรุ่งขึ้นของวันใหม่ หลวงปู่สั่งให้พวกเราเก็บบริขารเตรียมตัวเดินทางแต่เช้า เพราะจะต้องไปหาทางเข้าทุ่งนามอญอีก พระดำรงกับพระไพศาลบอกว่า ไม่ต้องรีบเร่งนักก็ได้ เพราะท่านรู้แล้ว ว่าทุ่งนามอญไปทางไหน คิดว่าเดินแค่ครึ่งวันก็คงจะถึง

หลวงปู่ท่านให้เหตุผลว่า การที่สั่งให้รีบเร่งออกเดินทางแต่เช้าก็เพราะไม่ต้องการไปรบกวนชาวบ้านมากนัก พวกเค้ามีความเป็นอยู่อย่างชาวบ้านป่า ข้าวและอาหารก็หามาอย่างยากลำบาก ขืนพวกเราอยู่รบกวนพวกเค้าอีก จะทำให้เขาฝืดเคืองมากขึ้น พวกเราออกเดินทางแต่เช้านั่นแหละดี ไปฉันเพลเอาข้างหน้า พระดำรงกับพระไพศาลยังแย้งว่า ชาวบ้านเค้าไม่ลำบากอะไร เต็มใจด้วยซ้ำ หลวงปู่ท่านเห็นพระ 2 รูปมีกิริยากระด้างจองหองไม่เชื่อฟัง ดังนั้น ท่านก็เรียกประชุมพระเณรทั้งหมด แล้วก็แจ้งเหตุผลให้องค์ประชุมได้รับทราบ และขอให้ลงมติว่าจะเดินทางแต่เช้า หรือจะอยู่ฉันเพลก่อน ที่ประชุมส่วนใหญ่ให้ออกเดินทาง แล้วไปฉันเพลเอาข้างหน้า ท่านจึงแจ้งให้ที่ประชุมได้ทราบว่า มีพระดำรงกับพระไพศาลท่านรู้หนทางไปเทือกเขาคนึงและทุ่งนามอญ ก็ให้ท่านทั้งสองเป็นหัวหน้านำทางต่อไป ถ้าท่านจะนำให้เดินไปทิศไหนก็ให้พวกเราเดินตาม สำหรับหลวงปู่ก็จะเดินตามเป็นองค์สุดท้าย โดยจะไม่คัดค้านโต้แย้งใดๆ พระเณรทั้งหมดออกเดินทางโดยการนำของท่านดำรงกับท่านไพศาล ส่วนหลวงปู่ท่านเดินต่อท้ายโดยมิได้พูดอะไร เลย ท่านเดินอย่างสบายใจ ชมนกชมไม้ชมธรรมชาติผ่าน ธรรมชาติช่วงไหนที่สวยงาม ท่านก็จะใช้ไม้เท้าสะกิดหลังข้าพเจ้า ให้หันไปดู ตลอดทางเป็นป่าโปร่ง พื้นดินเป็นที่ราบเสียส่วนใหญ่ พวกเราเดินมาได้สักครึ่งวัน ก็เข้าเขตเทือกเขาคนึง หยุดฉันเพลอยู่ริมลำธารเล็กๆ ใกล้ตีนเขา หลังจากฉันเพลแล้ว พระทั้งสองก็สั่งให้พวกเราออกเดินทางต่อไปได้พวกเรา เดินขึ้นไปตามเนินเตี้ย ๆ ลัดเลาะแนวตีนเขาผ่านป่าไผ่ ป่าไม้หนามที่เรียกว่า ต้นขวางขึ้นปกคลุมทึบ จนมองไม่เห็นยอดเขาและแสงตะวันในบางช่วงหนทางเริ่มสูงชันและรกไปด้วยไม้เถาเลื้อยที่เต็มไปด้วยหนามและเริ่มลำบากมากขึ้น บางช่วงก็ต้องถึงกับคลานหมอบลอดตัวไป เพื่อจะหลบเถาหนามเกี่ยวไก่ ซึ่งขึ้นเลื้อยกอดรัดพันเกี่ยวกับต้นไผ่และไม้ใหญ่ จนหนาแน่นดังเป็น กำแพงกางกั้น มีแค่ช่องเล็กๆ ที่พอจะคลานลอดไปได้เท่านั้นไม่มีหนทางอื่นที่จะเดินผ่านไปได้ นอกจากจะต้องคลานลอดช่องของต้นหนามเกี่ยวไก่ซึ่งต่อมาหลวงปู่เรียกมันว่าหนามเกี่ยวพระ เมื่อพระหัวหน้าคลานลอดต้นหนาม พวกเราก็ต้องคลานตาม เพราะไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เดิมมาทั้งวันแล้วจะย้อนกลับก็ใช่ที่ คลานนำไปได้สักครู่ก็มีเสียงเพล้ง และขลุกๆ ปรากฏว่าฝาบาตรของพระไพศาลหลุดกลิ้งลงไปนอนนิ่งอยู่ตีนเขา หลวงปู่ท่านหัวเราะแล้วก็พูดขึ้นว่า"เอาเข้าแล้วไหมหละ เป็นไงบ้างท่านหัวหน้าที่รักคงต้องไต่ลงไปเก็บฝาบาตรอีกครึ่งวันเป็นแน่เลย"

แล้วท่านก็ร้องขึ้นว่า "เฮ้อ กูก็เดินธุดงค์มาชั่วชีวิต ยังไม่เคยเห็นพระที่ไหนเค้าคลานธุดงค์เลย ก็เพิ่งจะได้เห็นนี่แหละ แถมตัวเองก็ต้องมาคลานกับเค้าด้วย เวรกรรม" เสียงของหลวงปู่สามารถเรียกรอยยิ้ม และทำลายความตึงเครียดของพวกเราได้มากพอที่จะผ่อนคลายความกังวลว่า เวลาใกล้จะเย็นลงแล้ว พวกเรายังคลานไต่อยู่ตามหน้าผายอดเขาอยู่เลย "ดูท่านจะแย่แน่ๆ เป็นเสียงของหลวงปู่ดังแซวมาข้างหลัง

 

หมายเลขบันทึก: 59007เขียนเมื่อ 13 พฤศจิกายน 2006 08:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:20 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท