เล่าสืบกันมาว่าในบั้นปลายชีวิตพระพุทธเจ้านั้นพระองค์ได้เหาะมาลงที่กอนเนา (ไม่รู้สถานที่ )แล้วเดินไปที่หนองคันแท ( ปัจจุบันคือเมืองเวียงจันทร์ในประเทศลาว )แล้วเดินเลาะเลียบแม่น้ำโขงมาฝากรอยพระบาท ( รอยเท้า ) ที่โพนฉัน สอนธรรมแก่พญานาคชื่อสุขหัตถี ( ปัจจุบันคือพระบาทโพนฉัน ) อยู่ตรงข้ามเมืองโพนพิสัย เขตหนองคายเดิม
แล้วมาฝากรอยพระบาทที่ก้อนหินเวินปลา ( ปัจจุบันคือพระบาทเวินปลา ) อยู่ใกล้สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 เขตเมืองนครพนม แล้วพระองค์ทำนายว่าไม่ไกลจากถิ่นนี้จะเกิดเป็นเมืองมรุกขนคร แล้วเดินทางไปพักค้างแรมคืน ณ ภูกำพร้า
พอรุ่งเช้าพระองค์ข้ามแม่น้ำโขงไปบิณฑบาตในเมืองศรีโคตรบูร ( อยู่ใกล้เมืองท่าแขกปัจจุบันในประเทศลาว ) เดินเดินทางไปเข้าพักใต้ต้นไม้รัง ( ปัจจุบันบริเวณพระธาตุอิงฮัง ในเมืองสุวรรณเขตประเทศลาว )แล้วพระองค์เหาะข้ามแม่น้ำโขงมาฉันภัตตาหาร ณ ภูกำพร้า
ขณะนั้นพระอินทร์มาเฝ้าและสงสัยถามว่าทำไมพระองค์จึงมา ณ กำพร้านี้ได้รับคำตอบว่า เป็นธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าในภัททกัลป์นี้คือ พระพุทธเจ้าชื่อว่า กะกุสันโท , โกนาคะมะโน , กัสสะโป เมื่อนิพพานแล้ว ( ตาย ) สาวกจะนำพระบรมสารีริกธาตุ ( กระดูก ) มาบรรจุไว้ ณ ภูกำพร้าแห่งนี้ เมื่อเรานิพพานแล้ว สาวกชื่อกัสสะปะจะนำเอากระดูกมาไว้ที่นี้เช่นกัน
กาลต่อมาพระพุทธเจ้าเดินทางไปเมืองหนองหานหลวงสอนธรรมแก่พญาสุวรรณภิงคารและชาวเมืองแล้วฝากรอยพระบาทไว้ ณ ที่นั้น ( ไม่รู้สถานที่ ) แล้วพระองค์เหาะกลับไปยังวัดเชตะวันเมืองสาวัตถีไม่นานนักก็เดินทางต่อไปยังเมืองกุสินาราเพื่อนิพพานที่นั้น.
น่าไปชื่นชม นะคะ