เมื่อวันที่ 4-6 กุมภาพันธ์ 2558 โรงเรียนบ้านเชียงยืน จังหวัดมหสารคาม ซื่งเป็นโรงเรียนเก่าที่ผมเคยศึกษาอยู่ในระดับชั้น ม.ต้น ได้จัดกิจกรรมเข้าค่ายพักแรม ลูกเสือ-เนตรนารี ชั้น ป.4-ม.3 เป็นเวลารวม 3 วัน 2 คืน ผมเองได้มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมในฐานะวิทยากร พี่เลี้ยงค่าย และผู้ช่วยผู้กำกับ โดยได้รับความไว้วางใจจากคุณครูพิชิต ชินกร และคณะครูโรงเรียนบ้านเชียงยืน
ในวันแรกที่ผมไปถึงค่าย พอลงจากรถก็รีบเดินเข้าไปทักทายคุณครูพร้อมกับน้อมรับยิ้มจากคุณครูที่เต็มไปด้วยความกรุณาและความภูมิใจ หลังจากนั้นก็เดินไปหาคุณครูพิชิต เพื่อที่จะถามถึงหน้าที่ที่ต้องทำในวันนั้น พอเดินไปถึง คุณครูพิชิตได้ยื่นเอกสารการเข้าค่ายให้พร้อมกับกล่าวว่า "ทำงานให้เต็มที่ ดึงเอาความสามารถที่มีอยู่ออกมาใช้ ขาดเหลือหรือขัดข้องอะไรบอกพ่อ พ่อจะคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆ" คำที่คุณครูพูดออกมานั้นทำให้ผมมีกำลังใจและมีแรงผลักดันในการทำงานมากขึ้น
กิจกรรมวันแรกเป็นของลูกเสือ-เนตรนารี ม.1-3 การดำเนินกิจกรรมค่อนข้างที่จะวุ่นวาย เพราะขาดการวางแผนที่ไม่ดี ทำให้เวลาไม่เหมาะสมและไม่เป็นไปตามเวลาที่กำหนด แต่ด้วยความสามารถของครูและวิทยากรจึงทำให้กิจกรรมสำเร็จได้ไปด้วยดีถึงแม้เวลาจะเลยไปบ้างก็ตาม ในวันที่สองเป็นของลูกเสือ-เนตรนารี ป.4-6 การดำเนินงานค่อนข้างที่จะเป็นระบบมากขึ้นเพราะ หลังจากกิจกรรมของวันแรกเสร็จ ก็มีการ AAR ประชุมหาข้อบกพร้องของกิจกรรมที่ดำเนินไปในวันแรกและ BAR เพื่อวางแผนการทำงานในวันต่อไป
การทำกิจกรรมในครั้งนี้ทำให้ผมได้เรียนรู้เกียวกับการทำงานร่วมกับครู เพราะครูบางท่านเป็นคนที่อารมณ์ขันเข้ากับเด็กได้ง่าย แต่บางคนถือตัวมากเกินไป เอาแต่ยืนสั่ง เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วเห็นทีจะทำตัวยากนึดหนึ่งครับ เพราะต้องดูให้ดีว่าครูท่านนี้เป็นคนยังไงและใช้หลักตามคำพังเพยที่ว่า "เข้าเมืองตาหลิ่ว ให้หลิ่วตาตาม" ก็คือ ครูท่านนั้นเป็นคนยังไงเราก็คล้อยตามท่านอย่าขัดเพราะถ้าเราขัดไป ท่านอาจจะไม่ชอบเราก็ได้เพราแต่ละท่านจะมีความคิดและทัศนคติไม่เหมือนกัน แต่สำหรับครูที่ สนิทสนมกันดี เราก็ยิ่งรู้ดีว่าท่านเป็นคนยังไงยิ่งสบายครับ
ในครั้งนี้ก็ขอขอบคุณคุณครูพิชิต ชินกร คณะครูโรงเรียนบ้านเชียงยืน ที่ได้ให้โอกาสทำในสิ่งที่ดีและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับน้องๆ อีกทั้งขอบคุณโรงเรียนเชียงยืนพิทยาคม ที่ได้กรุณาอนุญาตและให้ความไว้วางใจให้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ด้วย
ไม่มีความเห็น