ชื่อรายการ : สารพันปัญญาจากนิด้า
วันเวลาที่ออกอากากาศ : วิทยุ FM 99.5 Mhz ทุกวันพุธ เวลา 14.00-14.30 น. (30 นาที)
วันที่สัมภาษณ์ : วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558
แขกรับเชิญ : ผศ.ดร.ณดา จันทร์สม คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ
ประเด็น "มือใหม่เล่นหุ้น เตรียมตัวอย่างไร?"
ตอบประเด็นคำถาม
การสร้างผลตอบแทนให้แก่เงินออม ทำให้เงินออมงอกเงย และเพิ่มมูลค่าของเงินออมให้มากขึ้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การลงทุน คือ "การให้เงินทำงาน" ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเริ่มฝากเงินเท่ากันทุกเดือน เดือนละ 1,000 บาท ที่อัตราผลตอบแทนและระยะเวลาแตกต่างกัน เราจะมีมูลค่าของเงินออมแตกต่างกัน ดังตารางต่อไปนี้
ระยะเวลา | 10 ปี | 20 ปี | 30 ปี | ||
อัตราผลตอบแทน | |||||
2% | ==132,719.66 | ==294,796.83 | ===492,725.39 | ||
4% | ==147,249.80 | ==366,774.63 | ===694,049.40 | ||
6% | ==163,879.35 | ==462,040.90 | ==1,004,515.04 | ||
8% | ==182,946.04 | ==589,020.42 | ==1,490,359.45 |
จะเห็นได้ว่า ถ้าเรามีเงินออม และสามารถลงทุนในเงินออมในทางเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ย่อมให้มูลค่าของเงินออมที่มีนั้น งอกเงยเพิ่มพูนขึ้นได้มากกว่าเมื่อลงทุนในทางเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำ การลงทุนในหุ้น คือ ทางเลือกการลงทุนที่มีโอกาสจะสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร ดังนั้น การลงทุนในหุ้นจึงเป็นการเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้แก่ผู้ออมเงินในการที่จะสร้างผลตอบแทนและทำให้เงินออมมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นได้
หุ้น คือ ตราสารทางการเงินที่ให้สิทธิในการเป็นเจ้าของแก่ผู้ถือ กล่าวคือ การที่เราไปร่วมลงทุนในกิจการในฐานะเจ้าของ ไม่ใช่เจ้าหนี้ คาดหวังผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล (Dividends) และการเพิ่มขึ้นของราคาหลักทรัพย์ (Capital Gain) มีความเสี่ยงของการลงทุน ในแง่ของความผันผวน จากการที่ราคาหุ้นสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามภาวะตลาด และเงินปันผลที่จะได้รับ มีความไม่แน่นอนขึ้นกับนโยบายของบริษัท แต่สำหรับกิจการที่มีพื้นฐานและผลประกอบการดี เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีความผันผวน แต่ก็มีโอกาสที่จะกลับคืนสู่ระดับราคาที่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์นั้นได้ ดังนั้น การลงทุนต้องเลือกที่กิจการว่าเป็นกิจการที่ดี มีโอกาสในการเติบโตได้ ในระยะยาวแม้ว่าราคาจะผันผวนปรับตัวลดลงไป แต่ในท้ายที่สุด ก็จะต้องเข้าสู่ภาวะราคาปรับขึ้นได้ตามศักยภาพที่ธุรกิจมี
การลงทุนในหลักทรัพย์จำเป็นต้องมีความรู้ การลงทุนถ้าไม่ลงทุนความรู้ให้ตัวเองก็จะเพิ่มความเสี่ยงในการสูญเสียเงินออมที่มีได้ง่าย แต่ถ้าลงทุนหาความรู้ ก็จะเพิ่มช่องทางในการลงทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นให้แก่เงินออมได้ การแสวงหาความรู้ที่จำเป็นสำหรับการลงทุน เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ในปัจจุบันนี้ความรู้มีอยู่ทั่วไป สามารถเข้าถึงได้ทางอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอาทิ
-เว็บไซต์เพื่อพัฒนาความรู้นักลงทุนของตลาดหลักทรัพย์ www.tsi-thailand.org
-เว็บไซต์เพื่อพัฒนาความรู้นักลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) www.start-to-invest.com
-เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ที่รวบรวมข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน www.set.or.th และ www.settrade.com
ฯลฯ
คำกล่าวของ ซูนวู ปรามาจารย์แห่งตำรับพิชัยสงครามของจีนที่ว่า "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับการลงทุนในหุ้น จุดเริ่มต้นสำคัญ คือ ต้องรู้จักหุ้นที่จะลงทุน เลือกหุ้น หรือเลือกกิจการที่จะลงทุนได้อย่างถูกต้อง โดยมีข้อมูลพื้นฐานรองรับว่า หุ้นตัวไหนน่าจะเป็นหุ้นที่ดี มีโอกาสในการเติบโตในอนาคต ต้องสามารถประเมินวงจรชีวิตของธุรกิจ และโอกาสทางธุรกิจของอุตสาหกรรมได้
วงจรธุรกิจ แบ่งออกเป็น 4 ช่วง
-ช่วงแนะนำ เข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ (Introduction Stage) มีความเสี่ยงสูง ยังไม่ชัดเจนว่า กิจการหรือผลิตภัณฑ์จะเป็นที่ยอมรับ ทิศทางยังไม่ชัดเจนว่าจะดีหรือแย่ในอนาคต
-ช่วงเติบโต (Growth Stage) เป็นช่วงที่มีความชัดเจนมากขึ้น ตลาดตอบรับกับสินค้า/บริการของกิจการ และมีทิศทางที่จะเติบโตต่อไปข้างหน้าอย่างชัดเจน
-ช่วงโตเต็มวัย (Maturity Stage) เป็นช่วงที่ธุรกิจเริ่มนิ่ง อาจจะเป็นไปได้ว่าตลาดเริ่มอิ่มตัว หรืออยู่ตัวทางธุรกิจ ยอดขายไม่ปรับตัวมากนัก ในช่วงนี้บางกิจการจะสามารถดำรงอยู่ในสถานะนี้ได้นาน แต่บางกิจการก็เป็นสัญญาณของการเข้าสู่ช่วงขาลงได้
-ช่วงขาลง (Declining Stage) เป็นช่วงที่ความต้องการสินค้า/บริการเริ่มลดลง ยอดขายลดลง อาจจะมาจากการที่มีสินค้าอื่นทดแทนในตลาด หรือมีคู่แข่งเข้ามาในตลาดเพิ่มมากขึ้น และเป็นสัญญาณว่า ธุรกิจควรจะต้องมองหาการลงทุนใหม่ ๆ หรือนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีโอกาสในการแข่งขันในตลาดเข้าสู่ตลาดต่อไป
การเลือกกิจการที่จะลงทุนควรพิจารณาวงจรชีวิตในลักษณะนี้ และเลือกธุรกิจที่ยังอยู่ในภาวะเจริญเติบโต เพื่อสร้างผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล และราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้น และสร้างผลกำไรให้แก่ผู้ลงทุนได้
การลงทุนในหุ้นทำได้สองทาง คือ การลงทุนในหุ้นโดยตรง หรือการลงทุนผ่านกองทุนรวมตราสารทุน
1) ลงทุนในหุ้นโดยตรง โดยเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ ในปัจจุบันนี้มีบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่ง และบางบริษัทเป็นบริษัทในเครือของธนาคารพาณิชย์ การเลือกบริษัทหลักทรัพย์ ควรพิจารณาในส่วนของบริการที่จะได้ โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลข่าวสารและการอำนวยความสะดวกที่แต่ละบริษัทหลักทรัพย์จะจัดให้แก่นักลงทุน ดูรายชื่อบริษัทหลักทรัพย์ได้จาก http://www.settrade.com/C00_BeginnerRedirect.jsp?txtPage=beginnerZone/th/beginner-broker-list.html
การซื้อขายหลักทรัพย์ นักลงทุนสามารถเลือกใช้บริการแบบที่ให้เจ้าหน้าที่การตลาดช่วยให้คำแนะนำและทำการซื้อขายให้โดยตรง หรือนักลงทุนสามารถทำธุรกรรมซื้อขายด้วยตนเอง ผ่านทางอินเตอร์เน็ต
2)การลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุน แบ่งออกได้เป็นสองลักษณะ
- แบบที่หนึ่ง เป็นการลงทุนเพื่อประโยชน์ทางด้านภาษี ประเภทกองทุนรวม LTF ซึ่งสามารถนำเงินลงทุนมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี และเมื่อรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสํารองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบําเหน็จบำนาญขาราชการ (กบข.) แลวสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท แต่ไม่สามารถขายหน่วยลงทุนได้ก่อนระยะเวลา 5 ปีนับจากวันที่ลงทุน
- แบบที่สอง เป็นการลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุนโดยตรง ซึ่งเป็นลักษณะกองทุนเปิดหรือกองทุนปิดก็ได้ โดยหากเป็นกองทุนเปิดก็จะสามารถขายคืนหรือซื้อเพิ่มได้ตามความต้องการของผู้ลงทุน ถ้าเป็นกองทุนปิดก็จะเป็นลักษณะลงทุนตามระยะเวลาของกองทุน
สำหรับมือใหม่ที่ไม่มีเวลา หรือยังไม่มั่นใจในการลงทุนด้วยตนเอง อาจเริ่มลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุน โดยเลือกบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) ที่เราไว้วางใจเป็นผู้ลงทุนเงินออมของเรา โดยนักลงทุนจะต้องเลือกกองทุนรวมที่ตรงตามความต้องการ โดยพิจารณาจากเอกสารแนะนำกองทุนที่บลจ.ต่าง ๆ นำเสนอ เว็บไซต์หนึ่งที่มีประโยชน์ต่อการพิจารณาการคัดเลือกกองทุนรวมสำหรับนักลงทุน คือ เว็บไซต์ของบริษัท Morning Star ที่มีการรวบรวมข้อมูลของกองทุนแต่ละประเภทไว้ และมีข้อมูลบางประการเช่น การจัดอันดับ ฯลฯ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนในการคัดเลือกกองทุนรวมที่เหมาะสมกับความต้องการของนักลงทุนได้
www.morningstarthailand.com
นอกจากนี้แล้ว การลงทุนในหุ้นต้องขึ้นอยู่ระดับการยอมรับความเสี่ยงของนักลงทุนด้วย ซึ่งโดยปกติแล้ว ระดับการยอมรับความเสี่ยงของนักลงทุนแต่ละคนจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส การมีภาระทางการเงิน ทั้งการดูแลบุตร และการดูแลบิดามารดา และความจำเป็นในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจากเงินออมของแต่ละคน ฯลฯ การตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนผ่านกองทุนรวม หรือการลงทุนโดยตรงจากการเปิดบัญชีหลักทรัพย์ก็ดี บริษัทที่เกี่ยวข้องจะต้องให้นักลงทุนทำแบบประเมินระดับการยอมรับความเสี่ยงด้วย นักลงทุนสามารถทดสอบระดับการยอมรับความเสี่ยงของตนเองได้จากเว็บไซต์ของ TSI-Thailand
http://www.tsi-thailand.org/index.php?option=com_wrapper&Itemid=76
สุดท้าย คงต้องย้ำถึงคำเตือนการลงทุนที่ว่า
" การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน"
และสิ่งสำคัญที่สุด เงินออมของเรามีค่า การลงทุนความรู้เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับเงินออมเป็นเรื่องจำเป็น ผู้สนใจที่จะสร้างความมั่งคั่งจากเงินออม ให้เงินทำงาน ต้องยอมลงทุนสำหรับการหาความรู้เรื่องการลงทุนด้วย
แล้วพบกันใหม่ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการเงินการลงทุนในโอกาสหน้านะคะ
ไม่มีความเห็น