"ต้นไม้ แม่น้ำ ดินดอน ภมร สอนเรา"



ชีวิตในปัจจุบันเรากำลังถูกสังคมเมืองครอบงำแนวคิดในการดำเนินชีวิตโดยตั้งสูตรว่า "ชีวิตที่ดี ต้องรุ่งรวย" ในขณะประเทศชาติต่างๆ ก็มีแนวคิดยึดโยงในดงเมืองว่า "ประเทศที่เจริญ อยู่บนเศรษฐกิจที่ดี" ดังนั้น ในสังคมโลกจึงจมอยู่ในวังวนของทุนนิยม บริโภคนิยม คือ ใช้ชีวิตไปกับวัตถุสิ่งของ เทคโนโลยี ที่เป็นเครื่องเคียงของการดำเนินชีวิตอย่างเลี่ยงไม่พ้น ที่น่าคิดคือ ชาวเมืองคน ไม่รู้ว่ากำลังถูกครอบงำแนวคิดแบบเมือง จนเหมือนถูกจับมัดใจ มัดวิถีชีวิตให้ติดอยู่ในวังวนแห่งวัฏฏะนี้ จนหาความสุข ความอิสระแท้ๆไม่เจอ


แนวคิดนี้ ได้แผ่รัศมีไปถึงชาวบ้านชนบทด้วย เนื่องจากอยากมีวิถีชีวิตแบบคนเมือง อยากมี อยากเป็นเหมือนคนเมืองด้วย จึงตามกระแสนิยมคนเมืองดังกล่าว ทำให้ระบบชุมชนเมืองกับชนบทกำลังเชื่อมโยงที่เสียดุลกัน ในขณะเดียวกัน ก็มีแนวคิดจากความเบื่อหน่ายของคนเมืองที่เอียนในวิถีเมืองเดินทางออกไปหาวิถีใหม่ที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ จึงมีคนเมืองส่วนหนึ่งอพยพมาจากเมืองมาอิงธรรมชาติเดิม ตรงกันข้ามกับคนชนบทที่มีแนวคิดสวนทางคนเมืองโดยหันหน้าเข้าเมือง เผชิญโชคกับสังคมเมืองที่เต็มไปด้วยความลำบาก ที่คนชนบทมองว่า ที่หากิน ที่หาเงินทอง


หลังจากการปฏิวัติยุคอุตสาหกรรม ก็กลายเป็นยุคทุนนิยม และเข้าสู่ยุคอยากนิยม ผู้คนจนจึงดิ้นรนหางานเพื่อตอบสนองความอยากของตนเอง เป้าหมายความอยากคือ ความสุข ความมีเกียรติ มีระดับ ทันสมัย แต่ยุคแห่งความอยากนี้ ต้องแลกด้วยแรงกาย แรงบีบคั้น ความเสี่ยงต่อภัยอันตราย และไม่สนใจแม้เรื่องศีลธรรม คุณธรรม มโนสำนึก จิตสำนึกต่อสังคม ธรรมชาติและตัวเอง จึงทำให้สังคมเต็มไปด้วยเจตนาที่มุ่งมั่นในแต่ละคนที่จะไปถึงจุดหมายนี้ จึงไม่ค่อยสนใจ ไม่ใส่ใจ ไร้ความเมตตา อาทร ต่อกัน จนขาดน้ำใจไมตรีต่อกันในที่สุด


ดูเหมือนโลกกำลังเจริญไปด้วยเทคโนโลยีที่หยาบๆ และมีแหล่งความรู้ อันมหาศาลที่ใครๆ ก็สามารถหาได้ (Webs of knowledge) แต่กลับมีแต่ความรู้เชิงมายา เป็นความรู้แบบสังเคราะห์หรือความรู้แบบสำเร็จรุปในกรอบตำรา วิชาการหรือเป็นศาสตร์ เป็นทฤษฎีต่างๆ มากมายก่ายกอง ผู้คนที่สนใจในตำราวิชาการก็หลงว่า นี่คือความรู้ระดับมหาวิทยาลัยของโลก แต่เจาะใจ เจาะสมองลึกๆ แล้วมีแต่ลมที่พองออก เพราะมีหลักการที่เกินมากกว่าหลักประสบการณ์จริงจากการลงมือทดสอบในสนามจริง จึงกลายเป็น "วิทยากล" (Pseudo-science) วิทยาการที่แท้จริงคือ ประสบการณ์ตรงของปราชญ์ชาวบ้าน


หากจะมองให้ก้าวไกลไปกว่านั้นคือ มองไปถึงธรรมชาติบนโลกที่เกิด ยืนหยัด ต่อสู้ ท้าทาย ยืนยงคงทนบนโลกนี้ได้อย่างน่าทึ่ง ต้องยกให้เหล่าสรรพพืช สัตว์ ดินดอน แมลง ฯ ที่สู้แล้ง สู้แดด สู้น้ำ สู้ลม ทนพายุ หนาว ร้อน มาแล้วอย่างโชกโชน พวกเขาคือ บรรพบุรุษที่ฝังรากเหง้าเผาอบดีเอ็นเอมานาน จนสามารถตอบสนองต่อระบบธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน ไม่ขืน ไม่ต้าน ไม่ดื้อดึงต่อระบบธรรมชาติ จนเผ่าพันธุ์ของเขาถ่ายทอดสายพันธุ์อยู่บนโลก ให้เราได้เสพกินจนถึงบัดนี้


นั่นคือ บรมครู ศาตรจารย์แห่งนักรู้ นักปฏิบัติธรรม ที่พูดน้อย แต่แสดงมาก ให้เราเห็น ได้อาศัยจนเติบโต เราควรหันมามองสิ่งรอบตัวอย่างเข้าใจ เข้าถึง อย่างลึกซึ้งและใส่ใจอย่างแท้จริง เราจึงจะได้ความรู้จากครูที่ยิ่งใหญ่ได้ เพราะเราเห็นสิ่งรอบตัวจนชาชิน เราจึงเห็นแค่นั้น จึงไม่เห็นอะไรอยู่เบื้องหลังของมันเหมือน นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ คนงามไม่เห็นขี้(เหร่)ในตนเอง ก็ยากที่จะเห็นอะไรที่นอกเหนือจากสิ่งที่ตาเห็น จึงขอยกตัวอย่างมาแสดงให้เห็นว่า ธรรมชาติคือ บรมครูที่แท้จริง ของการดำเนินชีวิบแบบสัตว์ มิใช่แบบเทคโนโลยี ที่ถูกใส่โปรแกรมวางแผนให้ทำงานแบบไร้ความรู้สึก นึกคิดด้วยตัวเอง ซึ่งมีดังนี้---

๑) ต้นไม้

พืชไม้ทุกชนิดมีรากฐานมาจากสัตว์ โดยอิงรากเหง้าจากทะเลคือ ที่ที่มีน้ำเป็นแดนเชื่อมโยงให้เส้นทางชีวิตดำเนินไป พืชจึงเกิดและเติบโต และกลายเป็นเผ่าพืชที่ยืนยงคงอยู่บนโลกมานานแสนนาน ด้วยระยะเวลายาวนาน หลายล้านปี พืชจึงสามารถปรับตัวเอง แปลงตัวเอง ให้เป็นที่รองรับสภาพตามธรรมชาติของโลก มิได้ให้ธรรมชาติและโลกปรับตามพวกเขา จึงทำให้โลกมีมิตรที่ดีต่อตัวเอง อันที่จริงโลกแต่เดิม มีน้ำ มีดิน หิน ธาตุต่างๆ มีไฟ ให้เท่านั้น เหมือนโลกไม่ได้ให้อะไรเลย ด้วยสรรพพืชมีการปรับตัวมานาน จึงทำให้โลกกลายเป็นบ้านของพืช เป็นบ้านที่น่าอยู่เพื่อลูกหลานตัวเอง แต่บังเอิญผลพลอยได้กลับเกิดเป็นที่อาศัยของสรรพสัตว์ต่อมา


การดำเนินไปของพืชนั้น ไม่ได้มีเจตนาเพื่อสัตว์โดยตรงแต่แรก แต่เพราะพืชเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยืนหยัดในถิ่นที่ของตนอย่างแน่วแน่ ไม่สามารถย้ายไปไหนได้ตามใจปรารถนา เพราะอันตรายจากพายุ ธาตุอาหาร จึงต้องปักหลัก หยั่งรากลงพืช เพื่อปกป้องต้นของตนเอง กระนั้น พืชก็ไม่ได้อ่อนแอ อ่อนไหวเพราะอุปสรรคของตน กลับสร้างปัจเจกวิถีเพื่อเอาชนะกฎเกณฑ์นี้ได้อย่างดี จนทำให้ได้ประโยชน์คือ ได้รับแสงพอ ได้อาหารตามดิน ได้หยั่งรากฝังดิน เพื่อให้ตนเองแน่นมั่นคง และที่สำคัญแมลง สัตว์ได้อาหารกินด้วย


มีวิธีหนึ่งที่พืชแสดงออกมา มิใช่เพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่เพื่อผู้อื่นด้วย กล่าวคือ การออกดอก เพื่อเรียกร้องให้สัตว์มากินน้ำหวานหรือเกสร นั่นคือ บัตรเชิญมาผสมพันธุ์ให้ ในขณะเดียวกันสัตว์ก็ได้ของกิน ทั้งสองจึงเอื้อประโยชน์แก่กันและสร้างปฏิสัมพันธุ์ต่อกันอย่างลึกซึ้ง ส่วนผลไม้นั้น พืชก็มีเจตนาแอบแฝงเช่นกันคือ ผลไม้มีเนื้อ มีรสหวาน มีโปรตีน ซึ่งเป็นอาหารของสัตว์ต่างๆ ได้ ในขณะเดียวกัน เนื้อหรือโปรตีนในผลไม้กลับมีผลต่อลูกไม้ด้วยคือ เป็นการป้องกันเมื่อหล่นจากที่สูง เมล็ดไม่ช้ำ ไม่แตก หรือในกรณีไม้ชนิดนั้น ฝากอาหารไว้กับลูก เมื่อเดินทางไกล จะได้อาหารสำรองด้วยเช่น มะพร้าว เป็นต้น


ดังนั้น ไม้จึงสะท้อนกาลเวลา ประสบการณ์ ความอยู่รอด และความฉลาดล้ำของการรู้จักปรับตัวเองให้รอดพ้นวิกฤตของโลก นับว่า พืชมีความรู้ เป็นบรมครูของมนุษย์ได้ มากกว่าครูมนุษย์ด้วยกัน ยังมีมนุษย์อีกมากมายที่ไม่รู้วิธีเอาตัวรอดได้เหมือนพืช แม้จะมีสมองและฉลาดกว่าสัตว์อื่นก็ตาม เนื่องจากว่า เราเห็นธรรมชาติเป็นสิ่งรองรับหรือสนองเรามากกว่า จะมองเป็นครูของเรา ในหลวงจึงสอนให้เราคิดด้วยคำกล่าวที่ "เข้าใจ เข้าถึง จึงจะพัฒนา" ตนเองได้ เหมือนพืชเข้าใจ เข้าถึง จึงอยู่รอดได้

๒) แม่น้ำ

น้ำคือ ธาตุที่เกินกว่าธาตุทั้งปวงบนโลก เพราะโลกประกอบด้วยน้ำสามส่วน ดินหนึ่งส่วน ในห้วงอวกาศจึงเต็มไปด้วยน้ำ จึงนึกถึงนักปรัชญาคนแรกของกรีกชื่อ "ธาเลส" ที่บอกว่า "สรรพสิ่งเกิดมาจากน้ำ" น้ำปรากฎในรูปที่แตกต่างกันตามท้องถิ่น ดินโซนของโลก วิถีธารามีความสำคัญต่อการปรากฎของโลก และน้ำก็มีลักษณะที่ลู่เอนตามแรงกระตุ้นเสมอ น้ำจะตื่นตัวหรือเคลื่อนไหวดั่งมีชีวิตก็ต่อเมื่อน้ำได้รับอิทธิพลจากแสงแดด ดวงจันทร์ การโคจรของโลก แรงโน้มถ่วง พื้นที่ต่างกัน และการเคลื่อนไหวของแผ่นดิน


ความสำคัญของน้ำ ช่วยให้โลกมีชีวิต มีวิญญาณ มีอาหาร มีสายพานแห่งความสัมพันธ์ น้ำคือตัวประสานสรรพสิ่งให้เชื่อมโยงกัน น้ำมีส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์โลกให้อยู่ในภาวะสมดุลเรียกว่า "นิเวศ" ที่สำคัญคือ น้ำคือแหล่งทำมาหากินของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะมนุษย์อาศัยน้ำเป็นแหล่งโอกาสสร้างสรรค์กิจกรรมและสร้างโอกาสให้ตัวเอง ในสังคมยุคใหม่ น้ำคือ แหล่งสร้างธุรกิจอันยิ่งใหญ่ที่สร้างมูลค่าเพิ่มของกำไร เช่น กรมการประปา การไฟฟ้า ที่ได้น้ำจากหนอง ลำคลอง แม่น้ำ สายน้ำธรรมชาติ ฯ


เส้นทางของน้ำเริ่มจากทะเล เมื่อน้ำถูกแสงแดดเผา น้ำจะระเหยกลายเป็นไอ เป็นเมฆลอยไปตามแรงขับของลม ไปไกลตามโซนต่างๆ ของโลก หากเมฆลอยไปถิ่นที่มีป่าหรือเขตอากาศเย็น เมฆนั้นก็จะหยดกลั่นเป็นน้ำฝนหล่นลงพื้นดิน จากนั้นเม็ดน้ำก็จะรวมกันกลายเป็นกระแสน้ำ สายน้ำ น้ำหยดเดียวมิอาจสร้างพลังได้ เมื่อน้ำรวมกันก็จะกลายเป็นพลังสร้างเส้นทางของตนเองได้ เรียกว่า สายน้ำ แม่น้ำ ที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ แล้วไปรวมกันที่ทะเลตามเดิม

ดังนั้น น้ำคือส่วนสร้างสรรค์ให้โลกสวย ให้ชีวิตมีความสมบูรณ์ (พืช สัตว์ได้แพร่พันธุ์มา) มาตลอดตั้งแต่แรก แต่มาถึงยุคปัจจุบัน มนุษย์กลับแสวงหาประโยชน์จากธรรมชาติคือ น้ำ อย่างไม่รู้จักความยั่งยืน จนทำลายความอุดมสมบูรณ์ของโลกให้แห้งแล้งและเกิดเพทภัยต่อโลก ต่อพืช ต่อสัตว์ กระนั้น น้ำก็ได้มีเสียงเรียกร้องให้รักษาตนเอง ว่าทำให้น้ำเน่า เสียดุล สกปรก ทำให้น้ำธรรมชาติพิษ เกิดภัยต่อพืชและสัตว์ และน้ำก็ไม่ได้วิ่งไปหาหมอรักษาตนเอง


สิ่งที่น้ำสอนเราคือ น้ำคือผู้ชำระล้าง เป็นอาหารบำรุงกาย กินดื่ม บริโภค น้ำผ่านกาย ผ่านพืช แต่น้ำก็เล็ดรอดออกมาสู่ญาติลงทะเลเช่นเดิมเรียกว่า น้ำไม่เคยสูญหายแค่แปรสภาพเท่านั้นเอง น้ำจึงสามารถปรับ เปลี่ยน แปรสภาพตามธรรมชาตินั้นๆ ได้ เช่นผ่านพืชก็กลายเป็นผล ผ่านดินกลายเป็นปุ๋ย ผ่านชีวิตกลายเป็นเลือด มันไม่เคยกลัวอุปสรรค จิตมนุษย์ควรจะเรียนรู้ ดูน้ำเป็นแบบอย่างที่ปรับตนเองไปตามสภาวะนั้นๆ ได้อย่างกลมกลืน กระนั้น น้ำก็มีความอ่อนไหว ไวต่อความร้อน เหมือนจิตที่ไวต่อความแรงที่กระทบเช่นนั้น

๓) ดินดอน

ดินคือ ธาตุสำคัญที่เป็นพื้นฐานให้สรรพสิ่งเกิดเป็นรูปธรรมได้ เป็นแผ่นดินโลกที่โอบอุ้มสรรพสิ่งให้แปรเปลี่ยน สร้างสรรค์ให้เกิดรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตน ถือว่าดินโลกคือ ศาลแห่งความยุติธรรม ที่ทุกสิ่งกำเนิดมาอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่า สายพันธุ์นั้นจะเข้มแข็ง หรืออ่อนแอแค่ไหน ไม่ว่า สรรพสัตว์ พืช จะใหญ่ จะเล็ก แข็งแรง อ่อนแอ โลกย่อมมีเมตตาให้เกิด ให้อยู่เสมอ ไม่กีดกัน


ดินเป็นรากฐานให้สรรพสิ่งเกิดรูปร่างและตายที่นี่ กระนั้น ดินก็ไม่ได้ยินดี ใยดีต่อสิ่งนั้นเลย มันยังดำรงของมันอยู่เช่นนี้มาตลอด ไม่ว่าโลกคือแผ่นดินจะพลิกผัน พลิกแพลง เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม โลกยังคงมั่นคงในรูปแบบของตนเองเสมอ อันที่จริงโลกเองมิได้เป็นที่ปลอดภัยต่อสัตว์โลกใดๆ โลกคือหลุมฝังศพที่น่ากลัวนี่เอง เนื่องจากว่า โลกมีภัยคุกคามอยู่ตลอดเช่น จากลูกอุกกาบาต แผ่นดินไหว น้ำท่วม แห้งแล้ง ไฟไหม้ โรคภัย ฯ ล้วนแล้วแต่เป็นดวงดาวที่อันตรายทั้งสิ้น แต่เหตุการณ์เหล่านี้ อาจต้องอาศัยรอบของมันหรือนานๆ ทีจะเกิดแบบล้างโลก จึงทำให้วงจรชีวิตรีบโต รีบขยายพันธุ์เร็วขึ้น


สิ่งที่เราไม่ค่อยรับรู้คือ โลกมีแกนกลางเป็นลูกไฟ เป็นน้ำกรด เป็นลาวา ที่ร้อนดั่งนรกอเวจี แต่พื้นผิวกลับเย็นมีน้ำ มีความสวยงาม แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้เองทำให้สัตว์ไม่คิดหวาดกลัวอันตราย เพราะหลงติดในคลังอาหาร สมบัติที่อยู่ของตน เสพสุข จนลืมตาย จนลืมไปเลยว่า เรายืนอยู่ดวงไฟหรือยืนอยู่บนปากเหวนรกแท้ๆ มีสัตว์มากมายมายหลายล้านเผ่าพันธุ์ที่กำเนิดบนโลกใบนี้ ที่อาศัยภพแห่งโลก เป็นแดนสัญจรในการเกิด การตาย มาแล้วหลายล้านภพ หลายล้านชาติ นี่คือ "สวรรค์บนปากเหวนรก" นี่เอง


ดังนั้น สิ่งที่โลกสอนเราคือ กาลเวลาที่เราอยู่บนโลกเป็นเรื่องสมมติว่าเราแก่ไปตามรอบของการโคจรของโลก ซึ่งธาตุที่ถูกนำมาสร้างร่างกาย มีขีดจำกัดไม่มาก ไม่น้อย ประมาณ ร้อยปี เราจึงมีอายุบนโลกแค่ไม่นาน เมื่อเทียบกับโกล เราเกิด ดำเนินชีวิตจนแก่เฒ่า เจ็บป่วย และตายลงในโลกนี้ นี่คือ ที่เกิด ที่โต ที่ป่วยและที่ตายของสรรพชีวิต และนี่คือ แหล่งกำเนิดการเรียนรู้ ว่าอะไรคือโลก อะไรคือชีวิต อะไรคือตัวเอง อะไรคือ จิต ปัญญา ภพ ชาติ ความหลุดพ้น โลกนั่นเองคือ ผู้เป็นฐานให้เรา

๔) ภมร

สรรพสัตว์คือ สิ่งมีชีวิตที่เป็นผลผลิตจากโลก สรรพสิ่งที่เกื้อกูลต่อกัน จนกลายเป็นแหล่งให้สรรพสัตว์กำเนิดขึ้น โลกมิได้มีคำสั่งดั่งพระเจ้าในศาสนาบอกว่า เจ้าจงกำเนิดบนโลกนี้! แต่โลกคือ แดนที่เอื้อให้สัตว์กำเนิด โลกจึงไม่ต้องรับรู้และรับผิดชอบอะไร โลกเป็นผู้ให้ยืมสันหลัง แผ่นท้องให้สรรพชีพเกิดมาเท่านั้น หากจะกล่าวหาโลกว่า โลกลำเอียงคงไม่ได้ เงื่อนไขหลักเกิดมาจากวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่แปรปรับ เปลี่ยนแปลงตนเองไปตามกลกาลเอง จนสามารถต่อสู้อยู่รอดได้ และสามารถแพร่พันธุ์ตนเองได้ทั่วโลก


สรรพสัตว์เกิดมาได้เพราะอาศัยน้ำ พืช ดิน อากาศ และธาตุอื่น ที่สามารถหลอมกันกลายเป็นเงื่อนไขให้เกดิกายสัตว์ได้ จากนั้นสรรพสัตว์ก็วิวัฒน์ตนเองไปตามกรอบวิถีของตน เช่น สัตว์บก อยู่บนบก วิวัฒน์ตามแหล่งหากิน สัตว์ก็อยู่ในน้ำและวิวัฒน์ตนเองไปตามถิ่นน้ำนั้นๆ จนสามารถครองที่นั้นได้ อสัตว์อากาศก็เช่นกัน ในการเกิดมาพร้อมกัน แล้วอาศัยกันทั้งพืชและสัตว์ จึงจับมือกัน อาศัยกัน พึ่งพากัน เช่น สัตว์อาศัยพืช และพืชอาศัยสัตว์ การแดงเช่นนั้นคือ การสร้างความอยู่รอดร่วมกัน


สำหรับมนุษย์ที่ถือว่า อยู่เหนือชั้นทุกสัตว์ โดยสามารถข้ามทุกชั้นสัตว์ได้ แทรกแซงชั้นสัตว์ได้ และกลายเป็นทั้งผู้สร้างและทำลายในเวลาเดียวกัน เรียกอีกอย่างว่า เป็นผู้เลี้ยง ปลูกและเป็นผู้บริโภค มนุษย์อาศัยพืช สัตว์เป็นผู้ช่วยในการเพาะปลูกพืชให้ได้ผล และมนุษย์ต่อไปจะสามารถสร้างและผลิตเอง แต่จะกลายเป็นการห่างหรือแปลกแยกจากธรรมชาติไปเรื่อยๆ ผลผลิตต่างๆ ที่มนุษย์ได้มาส่วนหนึ่งมาจากกิจกรรมของแมลงทั้งนั้น


เส้นทางของแมลงเองก็มีวงจรเป็นของตนเอง กล่าวคือ ต้องการอาหารคือ น้ำหวาน เกสร เลี้ยงตนและเลี้ยงลูกของตน แมลงคือ มวลหมู่สวนสัตว์ที่สร้างโลกให้น่าอยู่ น่าอาศัย และมีความอุดมสมบูรณ์ กิจกรรมทั้งชีวิตของแมลงจึงถูกวางโปรแกรมการทำงาน การแสวงหาอาหาร เพื่อสร้างอาณาจักรของตนจนกว่าจะตายๆ ไป แล้วแมลงแต่งโลกเช่นนี้ มันได้สอนอะไรเรา เราเห็นอะไรจากมัน เราควรหาความรู้ วิทยาการใหม่ๆ (ของเรา) จากพวกมันหรือไม่


ดังนั้น แมลง สัตว์ ที่มีส่วนวงจรคล้ายๆ เราคือ เกิด เติบโต หากิน สืบพันธุ์ และตายไป มนุษย์นั้น ดูเหมือนจะหลงกลโลกหรือมีเจตนาที่มุ่งมั่น ยึดถือโลก สัญชาตญาณไว้จนแน่นเหนียวไปมากกว่าสัตว์เสียอีก แม้เราจะมองตนเองว่าฉลาด แต่กลับไม่รู้กลไกของโลก สัตว์ พืช และตนเอง


การที่เราเรียนรู้จากพืช สัตว์คือ การเรียนรู้โดยตรงจากครูจริง เหมือนพระพุทธเจ้าที่เข้าป่าแล้วเรียนรู้จากป่า จนบรรลุธรรมใต้ต้นไม้ป่า แต่ในใจเรากำลังมีตัดป่า ทำลายป่า ทำลายธรรมชาติในใจตนเอง จนไม่อาจมองเห็นป่า มองเห็นธรรมในใจตนได้ นี่คือ ผู้สอนเรา ให้เห็นโลก เห็นความจริง วันนี้ เราเห็นสิ่งที่เห็น เหนือการเห็นนั้นหรือไม่?

----------------------- (๙/๒/๕๘) ----------------------

หมายเลขบันทึก: 585611เขียนเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2015 12:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 กุมภาพันธ์ 2015 13:06 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

อ่านแล้วรู้ดีมากๆ ธรรมชาติสอนเรา...............

ทุกสิ่งอย่างเป็นเพียงสมมติ เราทุกคนไม่ควรให้กิเลสมาร

มาฉุดรั้งไว้ จะได้ไม่ต้องมา พบกันเพื่อจาก ครั้งแล้วครั้งเล่า

ว่าว............สุดยอด
ชอบทั้งบทความ
แต่ที่ชอบที่สุดคงเป็นคำว่า "ยุคอยากนิยม" คำๆนี้ ตอบคำถามผมได้มากมายจริงๆ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท