แหล่งที่มากับการกำหนดปัญหาการวิจัยและข้อบกพร่องที่พบบ่อยในการเลือกปัญหาการวิจัย
อาจารย์ สุภัชชา พันเลิศพาณิชย์
การกำหนดปัญหาการวิจัยเป็นสิ่งจำเป็นที่นักวิจัยต้องควรทำโดยไม่ให้กว้างหรือแคบเกินไป(๑)เพราะว่าปัญหาการวิจัย ที่ได้มามักเกิดจาก ประเด็นที่นักวิจัยสงสัยที่ต้องการดำเนินการเพื่อหาคำตอบที่ถูกต้อง ตรงกับความเป็นจริง จึงทำให้มีลักษณะเป็นข้อสงสัยของผู้วิจัยต่อสถานการณ์ที่ผู้วิจัยต้องแสวงหาความรู้เพื่อให้ได้คำตอบและสามารถสังเกตได้จากการกำหนดปัญหาว่าเป็นไปในลักษณะใด ควรทำการวิจัยรูปแบบใดถ้าเป็นการวิจัยในภาพกว้างต้องการหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลดำเนินการตามระเบียบวิธีวิจัยมีวิธีคิดแบบนรินัยหรือแนวคิดทฤษฎีเพื่อให้ได้ความรู้คู่ความจริงเราเรียกว่าการวิจัยเชิงปริมาณแต่ถ้าศึกษาจากสิ่งที่พบเห็นเพื่อหาข้อสรุปแบบเจาะจงเราเรียกว่าเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ(๒)
ดังนั้น การกำหนดปัญหาการวิจัยที่ดีต้องเกิดจากความสนใจหรือข้อสงสัยจากตัวผู้วิจัยเองที่ต้องแสวงหาความรู้อย่างเป็นระบบภายใต้หัวข้อที่อยู่ในความสนใจโดยใช้การอธิบายความหรือพรรณาความเป็นมาของเรื่องที่วิจัยพยายามชี้ให้เห็นถึงเหตุและผลว่ามีพัฒนาการมาอย่างไรโดยเขียนในภาพรวมแล้วค่อยๆลดทอนลงมาให้อยู่ในขอบเขตของกรอบแนวคิดการวิจัยเพื่อสื่อให้เห็นว่าจากปัญหาดังกล่าวทำให้ผู้วิจัยสนใจต้องการจะรู้หรือต้องการจะศึกษา(๓)และในการกำหนดปัญหาการวิจัยเชิงคุณภาพผู้วิจัยต้องเขียนที่มาและความสำคัญของปัญหาจากการทบทวนเอกสารพอสังเขปเพื่อสนับสนุนปัญหาที่ผู้วิจัยต้องการศึกษาลักษณะการเขียนควรมีการวางโครงเรื่องที่ชัดเจน กระชับในการนำเสนอแบบพอดี สามารถอธิบายได้ชัดเจนเชื่อมโยงปัญหาการวิจัยกับเหตุผลที่ต้องทำการวิจัยเชิงคุณภาพ
คำถามสำคัญที่นำไปสู่ปัญหาการวิจัย;แหล่งที่มา
การกำหนดปัญหาการวิจัยหรือการเลือกปัญหาการวิจัยจากสิ่งที่นักวิจัยมีข้อสงสัยอยากรู้เปรียบเสมือนการตั้งโจทย์ที่ต้องการหาคำตอบจึงต้องพิจารณาถึงแหล่งที่มาภูมิหลังของตัวนักวิจัยเองว่ามีทักษะความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ทางวิชาการเรื่องใดเรื่องที่ทำอยู่ในเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่น่าสนใจหรือไม่หรือเคยมีผู้เคยทำแล้วแต่ตัวผู้วิจัยสงสัยต้องการหาข้อค้นพบใหม่หรืออาจเป็นเรื่องที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อนแต่อยู่ในความสนใจและตัวผู้วิจัยมีความรู้เชิงวิชาการในเรื่องๆนั้นๆโดยในการทำวิจัยต้องทำคำนึงความพร้อมในทุกด้าน ทั้งเรื่องของ บุคคล เวลา งบประมาณ สถานที่รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลรวมไปถึงกระบวนทัศน์ และ การจำแนกปัญหาของนักวิจัย ค่านิยมของนักวิจัย วิธีการของนักวิจัย และการเลือกวิธีการวิเคราะห์และปัจจัยด้านเวลา(Bailey ๑๙๘๗;๒o)
ในการวิจัยเชิงคุณภาพการตั้งคำถามการวิจัยสำคัญมากเพราะว่านักวิจัยต้องแสวงหาความจริงจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่การตั้งคำถามที่ท้าทายและลุ่มลึกต่อการแสวงหาคำตอบจะทำให้งานวิจัยน่าสนใจน่าติดตามแต่ในการทำวิจัยเชิงปริมาณเน้นที่วัตถุประสงค์มากกว่าการตั้งคำถามการวิจัยโดยนำวัตถุประสงค์มาเป็นประโยคบอกเล่าสู่คำถามการวิจัยแล้วกำหนดปัญหาหรือหัวข้อการวิจัยซึ่งเห็นได้จากหลายงานชิ้นงานที่ทำการวิจัยเชิงปริมาณ(๔)
แหล่งของปัญหาการวิจัย
โดยทั่วไปนักวิจัยหรือผู้ศึกษาสามารถมองปัญหาในการพัฒนามาเป็นหัวข้อการวิจัยได้ ดังนี้
๑.ภูมิความรู้เดิม โดยศึกษาจาก สาขาที่เรียน และประสบการณ์ที่มีเชิงวิชาการ
๒.บริบทสังคม จากปัญหาต่างๆอาจจะเกิดที่หน่วยงานหรือ องค์กร และชุมชนที่ตนเองคลุกคลีอยู่
๓.ข้อเสนอแนะการวิจัย จากงานวิจัยเรื่องต่างๆที่มีข้อเสนอแนะในการวิจัยว่าควรทำวิจัยต่อเรื่องใดซึ่งสอดคล้องกับสาขาวิชาที่เรียนและนักวิจัย มีแนวคิดประสบการณ์การเรียนรู้ที่คล้ายกันมีความสนใจในข้อเสนอแนะนั้นๆก็ สามารถนำมาเป็นแนวทางในการกำหนดการวิจัยของตนได้
๔เอกสารและ.วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษาเอกสาร วรรณกรรมรวมถึง ตำรา วารสาร สิ่งพิมพ์ สื่อต่างๆ
๕.ความสนใจของนักวิจัยที่มีข้อสงสัย และต้องการจะรู้คำตอบ
๖.ผู้อื่นเสนอหัวข้อการวิจัยให้ เช่น อาจารย์ที่ปรึกษาเลือกหัวข้อให้นักศึกษาทำวิทยานิพนธ์ หรือจากหน่วยงานราชการและเอกชนเสนอหัวข้อเรื่องให้ทำการวิจัยเพื่อนำผลที่ได้ไปพัฒนางานในองค์กรทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความถนัดและความสนใจของตัวผู้วิจัยเองด้วย(๕)
ลักษณะของปัญหาการวิจัยที่ดี
หัวข้อเสนอปัญหาการวิจัยต้อง น่าสนใจ และ สอดคล้องกับรายละเอียดที่นำเสนอ
สามารถตอบปัญหาหรือแก้ปัญหาที่ต้องการได้
โจทย์วิจัยที่เสนอ ต้องมีวัตถุประสงค์ที่ ชัดเจน กระชับ และสามารถทำได้
ความคุ้มค่าต่อการลงทุน หากผลการวิจัยประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
ไม่ซ้ำซ้อนกับงานวิจัยเดิมแต่ถ้าต้องทำการวิจัยซ้ำจะได้ข้อค้นพบใหม่มีประโยชน์ต่อสถาบันหรือ ผู้ให้ทุนหรือเป็นประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม
หัวข้อของข้อเสนอโครงการวิจัยมีการสืบค้นผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องหรือการทบทวนบทความ (Literatures Review)
หัวข้อการวิจัยที่นำเสนอมี "ความใหม่ และน่าสนใจ" มีข้อมูลที่ทำให้เกิดความรู้และความเข้าใจ ทราบจุดอ่อนหรือจุดแข็งของเรื่องที่กำลังศึกษาอยู่จนสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดหรือสร้างสรรค์งานวิจัยใหม่ให้แตกต่างจากของเดิม
มีการใช้ฐานข้อมูลของ Scopus, Science Direct ในการค้นหาข้อมูล ประหยัดเวลาทำให้ไม่เกิดความความซ้ำซ้อนในหัวข้อการวิจัย(๖)
ควรกำหนดปัญหา วัตถุประสงค์ของการวิจัยให้แน่นอน เสร็จแล้วจึงลงมือเก็บข้อมูล ควรจำไว้ว่า ปัญหาการวิจัย เป็นตัวชี้แนะในการเก็บข้อมูล ไม่ใช้ข้อมูลเป็นตัวชี้นำการตั้งปัญหา
ปัญหาที่ดีจะต้องอยู่ในรูปของคำถามซึ่งประกอบไปด้วยตัวแปรอย่างน้อยสองตัว โดยที่ตัวแปรเหล่านั้นแสดงความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วย
จะต้องสร้างปัญหาโดยอาศัยพื้นฐาน แนวคิดจากผลการวิจัย แบบจำลองและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
ข้อบกพร่องที่พบบ่อยในการเลือกปัญหาการวิจัย
ในการเลือกปัญหาการวิจัยแม้ว่าผู้วิจัยได้ใช้เกณฑ์ในการคัดเลือกปัญหาวิจัย
เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะสำหรับนักวิจัยที่เพิ่งเริ่มต้น ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดคือ
๑. ปัญหานักวิจัยทำการรวบรวมข้อมูลมาก่อน แล้วมาตั้งเป็นปัญหาภายหลัง ผลคือข้อมูลที่ได้มานั้นไม่ครบถ้วนหรือไม่เพียงพอที่จะตอบปัญหาที่ตั้งไว้ได้
๒. การตั้งปัญหากำกวม ไม่เอื้ออำนวยให้เก็บข้อมูลได้
๓. เลือกปัญหากว้างเกินไป จึงความยากลำบากอย่างหนึ่งที่นักวิจัยเผชิญเพราะว่าถ้าปัญหามีลักษณะกว้างเกินไป มักจะครุมเครือ ไม่อาจทดสอบได้ จึงไม่มีประโยชน์ถึงแม้จะน่าสนใจก็ตาม ซึ่งจะพบเห็นได้ในสังคมศาสตร์ เช่น "การศึกษาประชาธิปไตยส่งเสริมการเรียนรู้ทางสังคมและการเป็นพลเมืองดี" "ลัทธิการใช้อำนาจในห้องเรียนขัดขวางความคิดเชิงสร้างสรรค์ของเด็ก" ปัญหาเหล่านี้น่าสนใจแต่กว้างเกินไปจนไม่อาจนำไปทดสอบได้
๔.ปัญหาที่ไม่ได้มาจากผลการวิจัย การตั้งปัญหาไม่ได้อาศัยพื้นฐานจากผลการวิจัย แบบจำลองและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องแต่ประการใด(๗)
๕.เลือกปัญหาวิจัยตามผู้อื่นหรือตามความสำคัญตามสถานการณ์โดยขาดการพิจารณาไตร่ตรองด้วยความรอบครอบว่าปัญหาวิจัยนั้นสอดคล้องกับความสนใจและความสามารถของตนเอง
๖.ผู้วิจัยไม่ได้วิเคราะห์ปัญหาให้ถูกต้องชัดเจนทำให้ได้ปัญหาวิจัยในประเด็นปัญหาที่ต้องการค้นหาคำตอบและแนวทางดำเนินการวิจัยผิดพลาด
๗. ผู้วิจัยไม่ได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอที่จะกำหนดประเด็นปัญหาวิจัยและกรอบแนวคิดในการดำเนินการวิจัยได้อย่างชัดเจน
๘.ผู้วิจัยไม่มีความรู้ความสามารถในเรื่องที่จะทำการวิจัยทั้งนี้เพราะไม่ไดประเมินศักยภาพของตนเองให้สอดคล้องเหมาะสมกับระดับปัญหาวิจัยทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการวิจัย
๙. ผู้วิจัยเลือกปัญหาวิจัยโดยขาดการวางแผนและการดำเนินการวิจัยที่ดี
หลักในการเขียนปัญหาการวิจัย
การเขียนปัญหาการวิจัยเป็นการแสดงให้เห็นถึงประเด็นปัญหาที่ต้องการค้นหาคำตอบจึงต้องให้มีความครอบคลุมและชัดเจนซึ้งอาจเขียนได้ ๔รูปแบบดังนี้
๔.๘.๑ การเขียนในรูปประโยคคำถามการเขียนตามแบบนี้เป็นการเขียนปัญหาวิจัยเป็นประโยคคำถามที่ให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายเขียนได้ ๓ ลักษณะคือ
๑) การเขียนเป็นประโยคคำถามเดียว
๒) การเขียนเป็นประโยคคำถามหลายประโยคโดยการเขียนเป็นประโยคคำถามย่อยหลายๆประโยค
๓) การเขียนเป็นประโยคคำถามหลักแล้วตามด้วยประโยคคำถามย่อย
การเขียนในรูปประโยคบอกเล่าการเขียนตามรูปแบบนี้เป็นการเขียนปัญหาวิจัยเป็นประโยคบอกเล่าซึ้งอาจเขียนเป็นประโยคเดียวหรือประโยคย่อยหลายประโยคก็ได้เขียนได้ ๔ลักษณะ
๑) การเขียนเป็นประโยคบอกเล่าเดียว
๒) การเขียนประโยคบอกเล่าเดียวแต่มีหลายตอน
๓) การเขียนประโยคบอกเล่าหลายๆประโยค
๔) การเขียนเป็นประโยคบอกเล่าหลักแล้วตามด้วยประโยคบอกเล่าย่อย
๔.๑ การเขียนในรูปประโยคบอกเล่าแล้วตามด้วยประโยคคำถามการเขียนตามรูปแบบนี้เป็นการเขียนปัญหาวิจัยเป็นประโยคบอกเล่าแล้วตามด้วยประโยคคำถาม
๔.๒ การเขียนในรูปสมมติฐานที่เป็นกลาง(null hypothesis)การเขียนตามรูปแบบนี้เป็นการเขียนปัญหาวิจัยในลักษณะสมมติฐานที่เป็นกลางซึ้งอาจเขียนเป็นสมมติฐานเดียวหรือหลายสมมติฐานก็ได้
สรุป
งานวิจัยจะเริ่มต้นได้หรือไม่นั้นสิ่งที่สำคัญคือปัญหาการวิจัยและการกำหนดหัวข้อวิจัยซึ้งในการที่จะได้มาของปัญหานั้น ผู้วิจัยจะต้องทราบที่มาของแหล่งปัญหาการวิจัยวิธีการเลือกปัญหาลักษณะของปัญหาที่ดีแล้วเลือกปัญหาที่สนใจและสามารถดำเนินการวิจัยให้เกิดประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าและจะต้องกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยให้ชัดเจนสอดคล้องกับปัญหาวิจัยหรือคำถามวิจัยต้องกำหนดในลักษณะของสิ่งที่จะกระทำเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่อยากรู้อยากเห็นหรือตอบคำถามมากกว่าจะได้ผลลัพธ์ของสิ่งที่อยากรู้อยากเห็นต้องสอดคล้องกับรูปแบบของการวิจัยครอบคลุมปัญหาการวิจัยหรือคำถามการวิจัยครบทุกข้อในรูปของประโยคบอกเล่าและสามารถตอบคำถามของปัญหาได้
.................................................................................................................................
ขอบคุณแหล่งที่มาค่ะ
(๑.ดร.ฤทธิชัย แกมนาค การศึกษาอิสระ พิมพ์ครั้ง๑ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา วัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย หน้า ๑๖ พ.ศ.๒๕๕๕)
(๒.ดร.ประเวศน์ มหารัตน์สกุล หลักการและวิธีการเขียนงานวิจัย วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ กรุงเทพ ปัญญาชน,๒๕๕๗หน้า๑o๒-๑o๔)
(๔.ดร.วรรณดี สุทธินรากร พิมพ์ครั้งที่๑ การวิจัยเชิงคุณภาพ; การวิจัยในกระบวนทัศน์ทางเลือก กรุงเทพ สยามปริทัศน์, ๒๕๕๖หน้า๖๔-๖๕)
(๕.เทคนิควิจัยทางสังคมศาสตร์ ศาสตราจารย์ดร.สิน พันธุ์พินิจ สำนักพิมพ์จูนพับลิชชิ่ง จำกัด๒๕๔๗หน้า๖๗-๖๙ )
(๖.การประชุมวิชาการครั้งที่ ๒วิธีการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัยที่ดีภายใต้โครงการเมธีวิจัยอาวุโส สกว. ประจ าปี พ.ศ. ๒๕๕๓
โดยชัย จาตุรพิทักษ์กุลภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 2555 http://www.finearts.cmu.ac.th/wp-content/uploads/2014/06)
(๗.http://pioneer.netserv.chula.ac.th/~jaimorn/re4.htm)
ไม่มีความเห็น