สิ่งที่เป็นข้อเสนอ
1. เราจะต้องแยกระหว่างประวัติศาสตร์แบบที่ 1 เป็น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต กับประวัติศาสตร์แบบที่ 2 ที่เป็นการอธิบายที่เป็นเรื่องเล่าในอดีต
2. โดยตัวมันเองความแตกต่างนี้เป็นเรื่องแปลกปลอม และต้านทานไม่ได้ เพราะเราเข้าถึงอดีต โดยใช้ความทรงจำ, ประวัติศาสตร์, เทพปรณัม ฯลฯ
3. ประวัติศาสตร์แบบที่ 2 ก็คือ การผสมผสานองค์ประกอบต่างๆ (ข้อเท็จจริง, เหตุการณ์ต่างๆ ฯลฯ) ที่ถูกวางโครงเรื่อง และจัดองค์ประกอบโดยใช้โครงสร้างแบบนิยาย หรือเป็นรูปแบบบทกวี
4. นักประวัติศาสตร์จึงไม่ไดค้นหาประวัติศาสตร์ แต่เขาทำโดยการ
4.1 เรียงลำดับเหตุการณ์ในรูปแบบรูปแบบหนึ่ง
4.2 ตอบคำถามที่ว่า เกิดอะไรขึ้น ที่ไหน อย่างไร และทำไม
4.3 ตัดสินใจว่าเหตุการณ์ใดจะรวมเข้ามา หรือแยกออกไป
4.4 เน้นไปที่เหตุการณ์บางอย่าง และนำข้อเท็จจริงอื่นๆมาเป็นตัวสนับสนุน
4. อุดมคติของประวัติศาสตร์ที่เน้นวิทยาศาสตร์แบบประวัติศาสตร์ที่เป็นปรนัย (objective historical science) จะละเลยประวัติศาสตร์แบบที่ 2 ที่เน้นลักษณะแบบเรื่องราว หรือเป็นกวีนิพนธ์
5. แต่รูปแบบที่มีลักษณะบทกวีหรือเรื่องเล่า โดยตัวของมันแล้ว เป็นองค์ประกอบในการอธิบาย ทำให้ประวัติศาสตร์เป็นมากกว่าเรื่องที่เป็นลำดับ
6. นักประวัติศาสตร์สร้างรูปแบบประวัติศาสตร์ที่เป็นบทกวีหรือเรื่องเล่า โดยนัยนี้ก็คือ สิ่งที่พบ พอๆกับสิ่งที่สร้างขึ้น
7. ลักษณะการเขียนประวัติศาสตร์เหล่านี้ถูกแบ่งปันโดยนักประวัติศาสตร์ และสาวกของเขา ลักษณะการเขียนเป็นเรื่องราว ซึ่งทำให้มีความหมายภายใต้สังคมลักษณะหนึ่ง
8. หน้าที่ของประวัติศาสตร์ ก็คือ การจัดระเบียบข้อเท็จจริงที่คุ้นเคย ในรูปทรงใหม่ๆ ซึ่งจัดวางให้ข้อเท็จจริงเหล่านั้นอยู่ในรูปแบบที่เข้าใจได้
9. บริบททางประวัติศาสตร์ก็คือผลผลิต เป็นการสร้างสรรค์ของประวัติศาสตร์โดยนักประวัติศาสตร์
10. สิ่งที่สังคมถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ และถือกันว่าเต็มไปด้วยข้อเท็จจริง จริงๆแล้วก็เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้มา เป็นบางสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ก่อนตามแนวคิดของนักประวัติศาสตร์นั้น มหาประวัติศาสตร์ ก็คือ จินตนาการเชิงประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 นั้นเอง
หนังสืออ้างอิง
Vick Rea. (2015). Metahistory. http://www.lehigh.edu/~ineng/syll/syll-metahistory.html.
ไม่มีความเห็น