จากโฆษณา
โฆษณาบัตรเครดิต First Choice |
คุณจะรับคำท้า ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตนี้หรือไม่ ระยะเวลารับคำท้าคือ 1 พฤศจิกายน 2557 ถึง 28 พฤศจิกายน 2558 เป็นเวลา 4 เดือน .... ถ้าคำตอบคือไม่ (หรือไม่มีบัตรเครดิต First Choice) คุณก็ไม่ต้องอ่านบันทึกนี้ต่อ
แต่สำหรับครอบครัวตึ๋งหนืด ก่อนจะทำอะไรต้องนั่งคิดทบทวน (วิเคราะห์) ก่อน (วิเคราะห์=Analyse มาจาก Ana แปลว่า apart แยกแยะ) เงื่อนไขโฆษณา ซึ่งวิเคราะห์ได้ดังนี้
สรุปว่า สนใจที่เงือนไข เงินคืน สูงสุด เดือนละ 3,000 บาท จะต้องทำอย่างไร? (โฆษณาคือโฆษณา คือ ต้องเวอร์เอาไว้ก่อน เหมือนว่า จะได้เงินคืน ๑ รอบบัญชี 16,000 บาท แต่ความจริงต้องไปศึกษาเงื่อนไขอีก) ตรงนี้แหละที่ท้าทายระบบวิธีคิดของเรา
วิธีคิดของบริษัทบัตรเครดิต First Choice คือ เงื่อนไขการคืนเงินเข้าบัตรเครดิตแบบขั้นบันได (ซึ่งบีแมนปรับรูปแบบให้ง่ายเข้า) ดังตาราง
ยอดใช้จ่ายสะสมต่อเดือน | จำนวนเงินที่นำมาคำนวณเครดิตเงินคืน (บาท) | % เครดิตเงินคืน | จำนวนเงินคืนสูงสุดในแต่ละขั้น |
ตั้งแต่ 5001-30,000 บาท | 25,000 บาท | 3 % | 750 บาท |
30,000-60,000 บาท | 30,000 บาท | 5 % | 1500 บาท |
60,001-70,715 บาท | 10,715 บาท | 7 % | 750 บาท |
รวมเครดิตเงินคืนสูงสุด 3,000 บาท/เดือน/บัญชี | |||
00 | |||
จะเห็นว่า..ยอดใช้จ่ายสูงสุดต่อเดือนคือ 70,715 บาท....
(ต่อไปเป็นการนำข้อมูลที่วิเคราะห์มาสังเคราะห์ โดยที่การสังเคราะห์ หรือ Synthesize เป็นการตกผลึกในวิธีคิดของแต่ละคน)
แต่บัตรเครดิตของครอบครัวตึ๋งหนืด มียอดเงินรวมอยู่ที่ 71,000 บาท เป็นยอด บัตรเครดิต (รูดซื้อสินค้า 41,000) บาท และยอดเครดิตส่วนบุคคล (ผ่อนซื้อสินค้า 30,000) เมื่อทำการโยกวงเงินแล้ว ผลการโยกวงเวินใหม่มีดังนี้
และยอดเงินบัตรเครดิตเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2557 มียอดคงค้าง (หนี้เดิม) 10,664 บาท ทำให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในเดือนพฤศจิกายน 2557 เหลือเพียง 65,000-10,664=54,336 บาท เท่านั้น...ซึ่งจะมีสิทธิ์ได้รับเงินคืนสูงสุด เพียง 24,336*5%=1,216.8 บาท ซึ่งเมื่อรวมกับเงินคืนขั้นแรก
จะเป็นเงินคืนสูงสุด 1,966.8 บาท ซึ่งคิดเป็นร้อยละของเงินที่คืนต่อยอดใช้จ่ายเท่ากับ 1,966.8หารด้วย 54,336 และคูณด้วย 100 จะเท่ากับ ประมาณ 3.62%
เงินคืน 3.62% นั้นน่าสนใจไหม เปรียบเหมือนเอาเงินไปลงทุน 54,336 บาทได้ผลตอบแทน 3.62% ต่อปี ก็น่าสนใจอยู่แล้ว เพราะผลตอบแทนนั้นเอาชนะเงินเฟ้อเฉลี่ย 3.0% ต่อปี...
แต่เครดิตเงินคืน จะคืนให้ภายใน 1 เดือน (หรืออย่างมากไม่เกิน 50 วัน ขึ้นอยู่กับความจำเป็นและแผนการใช้) หมายความว่า ได้ผลตอบแทน 3.62 % ภายในเวลาแค่ 1 เดือน ถ้าเงินหมุน 4 รอบของการลงทุน ก็จะได้ผลตอบแทนคิดเป็นปีเท่ากับ 3.62*4*3 เท่ากับ ผลตอบแทนเฉลี่ย 43.44% ต่อปี เลยทีเดียว..ทำให้น่าสงสัยว่า บริษัทบัตรเครดิตเอาเงินจากไหนมาจ่ายเป็นเครดิตเงินคืน..
ลองคิดคำตอบแทน.."บริษัทบัตรเครดิต"...เงินที่นำมาจ่ายให้กับลูกค้า ก็คือเงินของลูกค้าบัตรเครดิตที่ไม่มีการบริหารจัดการที่ดี คือ เมื่อถึงเวลาจ่าย จ่ายไม่ตรงนัดหรือจ่ายแค่ขั้นต่ำ ทำให้เป็นหนี้บัตรเครดิตนั่นเอง (มีภาระเป็นดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม)..นั่นก็คือมีคนได้และมีคนเสียจากการบริหารบัตรเครดิตที่เป็นระบบและไม่เป็นระบบ..ซึ่งผู้ถือบัตรเครดิตแต่ละคนจะมีวิธีคิดที่แตกต่างกันไปตามสิ่งที่ได้เรียนรู้มาในชีวิตซึ่งจะแตกต่างกันแม้จะเรียนมาจากสำนักเดียวกันก็ตาม..
กลับมาที่วิธีคิด...ถ้าผมต้องการเครดิตเงินคืน 3,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งคิดเป็นค่าเฉลี่ยเครดิตเงินคืน จะเท่ากับ 3,000 หารด้วย 70,715 คูณด้วย 100 (ใช้ฐานคิดคือคณิตศาสตร์เรื่องเลขร้อยละสมัยเรียนชั้นประถมปีที่ 4) จะเท่ากับ 4.24 % ต่อเดือนเลยทีเดียว หรือ คิดเป็น 16.96 % ต่อปีเลยทีเดียว
เปรียบเหมือนเอาเงินมาฝากธนาคาร 70,715 บาท แล้วได้ผลตอบแทน เป็นเงิน 12,000 บาท คิดเป็น16.96 % (ต่อรอบ 4 เดือน) ซึ่งคือการบริหารการเงิน โดยการทำให้เงินทำหน้าที่ (โดยเรามีหน้าที่เป็นคนโยกเงินเท่านั้น)
คำถามท้าทายที่ตามมา คือ นั่นเป็นแค่วิธีคิด..ก็ในเมื่อคุณมีวงเงินบัตรเครดิตเพียง 65,000 บาท แล้วคุณยังใช้ได้เต็มที่ได้เพียง 54,336 บาท ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งคุณจะได้เครดิตเงินคืนเข้าบัญชีสูงสุดเพียง 1,966.8 บาท เท่านั้น...
คำตอบของผมคือ ผมเชื่อในความคิดที่ว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ ที่คนอื่นทำได้ แล้วผมจะทำไม่ได้ ตราบใดที่มันมีวิธีคิด ย่อมต้องมีวิธีปฏิบัติ...ดังที่ผมนำมาเรียบเรียงเป็นข้อๆ ดังนี้
ไม่มีความเห็น