วันที่ ๒๐ - ๒๑ กันยายน ๒๕๕๗ CADL จัดค่ายรวบรวมนิสิตแกนนำขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ปศพพ.) ในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กลุ่มเป้าหมายเป็นนิสิตในโครงการเด็กดีมีที่เรียน จำนวน ๒๘ คน จาก ๖๓ รายชื่อที่ได้รับแจ้งว่ามารายงานตัว รวมกับรุ่นพี่อีก ๑๒ คน รวม ๔๐ คน วัตถุประสงค์สำคัญคือการสร้างชุมชนเรียนรู้หลัก ปศพพ. ในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะการน้อมนำไปปรับใช้ด้านการศึกษา โดยหวังใจว่า จะเป็นจุดเริ่มของ "จุดร่วม" ของคนที่มีศรัทธาในการสร้างความดี คือ การขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษาสู่เพื่อนนิสิตใน มหาวิทยาลัยตามกำลังของตนต่อไป
โลโก้โครงการเด็กดีมีที่เรียน (ขอบคุณ น้องเปรมยุดา ชมภูคำ ผู้ออกแบบนะครับ) |
งาน นี้เรามี "คนดี" ผมถือว่าผมมีบุญที่เหมือนมีหลายอย่างมาหนุนให้ได้ทำงานนี้ในช่วงเกือบ ๒ ปีที่ผ่านมา รวมถึงเหตุการณ์ที่วันหนึ่ง น้องอุ้ม "ภาณุพงศ์ คงสวัสดิ์" เดินเข้ามาใน CADL อย่างไม่ได้นัดหมาย บอกว่า "ผมมาเรียนต่อ ป.โท มีอะไรจะให้ช่วยไหมครับ..." ผมตอบรับทันที เพราะผมกำลังมองหา "คนดี" มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นฐานของ ปศพพ. มาทำงานขับเคลื่อนฯ อยู่แล้ว
ก่อน หน้าวันนั้นหนึ่งเดือน ผมเคยไปให้อุ้มช่วยประสานกับนิสิตชมรมพุทธศาสน์ เพราะผมรู้ว่าอุ้มเป็นอดีตประธานชมรมพุทธ ซึ่งต่อมาทำให้ผมได้รู้จักกับ "เก่ง" ประธานชมรมพุทธศาสน์คนปัจจุบัน และรุ่นน้องจากโรงเรียนจันทรุเบกษานุสรณ์อีกหลายคน เราไปช่วยงานเสวนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑๖ ที่จัดขึ้นที่วัดสว่างโพธิ์ชัย จ.ขอนแก่น
อุ้ม ทำงานอย่างแข็งขัน จนเกิดค่ายเด็กดีมีที่เรียนครั้งที่ ๑ ครั้งนี้ขึ้น และสำเร็จลุล่วงไปอย่างประทับใจ ทุกคนรวมทั้งพี่ๆ CADL ก็เปิดใจรับและมั่นใจว่า "เราไปได้แน่" ผมเอง AAR ว่า เราบรรลุเป้าหมายของกิจกรรมแรกนี้อย่างยิ่ง แม้ว่าอาจจะมีบางสิ่งที่เราสามารถทำดีได้ยิ่งขึ้น
กิจกรรม นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการขับเคลื่อน ปศพพ. ด้านการศึกษา ในมหาวิทยาลัย ผมกล่าวในการปฐมนิเทศหลังจากเป็นประธานเปิดค่าย เพื่อสื่อสารไปยังนิสิตทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องที่มารวมกันในวันนั้นว่า เรามุ่งมั่นที่จะดำเนินโครงการนี้เพื่อวัตถุประสงค์ ๓ ประการ ได้แก่
๑) เพื่อให้เป็นจุดร่วมหรือศูนย์รวมหนึ่งของ "คนดี" หรือคนที่มีศรัทธาในการทำ "ความดี" โดยเฉพาะนิสิตในโครงการเด็กดีมีที่เรียนที่มีพันธกิจโดยตรงที่ต้อง "ดำรงธรรม" หรือ "ดำรงความดี" ผ่านการทำกิจกรรมหรือโครงการความดีร่วมกันอย่างต่อเนื่องตลอดการศึกษาใน มหาวิทยาลัย
๒) เพื่อสร้างและพัฒนานิสิตแกนนำ "คนดี" ที่มี "จิตอาสา" อยากจะร่วมกันขับเคลื่อนฯ พัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของรายวิชาศึกษาทั่วไป เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งกายและใจ มีคุณธรรม จริยธรรม สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข หรือกล่าวรวมกันว่าเป็นผู้มีอุปนิสัย "พอเพียง"
๓) เพื่อขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้านการศึกษา ให้นิสิตในมหาวิทยาลัยได้เข้าใจ และน้อมนำไปใช้ตามสมควรแก่ตน
และบอกแนวทางการฝึกตนเองให้กับนิสิต ๓ ขั้นตอน ได้แก่
๑) การเรียนรู้ตนเองเพื่อให้ "รู้จักตนเอง" โดยใช้กระบวนการจิตตปัญญาศึกษาวิถีพุทธ เพราะวิธีนี้เท่านั้น ที่จะทำให้เข้าใจคำว่า "พอประมาณ" อย่างแท้จริง
๒) เรียนให้รู้และเข้าใจผู้อื่น ผ่านกิจกรรมพัฒนานิสิต กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์และช่วยเหลือสังคม หรือโครงการ/โครงงานความดี
๓) ฝึกให้ตนเองสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ฝึกฝนทักษะที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตที่ดีในสังคมในศตวรรษใหม่ หรือที่เรียกว่า ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑
หลังจากจากกิจกรรมนี้ผ่านไป ๑ อาทิตย์ เราประชุมกลุ่ม CADL ทำ AAR กัน สรุปได้ดังนี้ว่า
ขอจบฮ้วนๆ แบบนี้นะครับ
ดูรูปทั้งหมดที่นี่
นี่เป็นการ "รับงาน" ในหลวง ด้วยจิตวิญญาณที่จะช่วยเหลือประชาราษฎร์อย่างดี เห็นด้วยกับอ.ตลอดในเรื่องปศพพ. เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคนไทย และมีปรัชญาคำสอนในการดำเนินชีวิตได้อย่างครบถ้วน แต่ก็เป็นห่วงคนเมืองอยู่ว่า จะเข้าใจวิธีปฏิบัติแค่ไหน (ไม่ได้ลงมือทำ รู้แต่ทฤษฎี)
ในขณะชาวชนบทที่เข้าถึงแล้ว จนเรียกว่า "สำเร็จ" (ปราชญ์ชาวบ้าน) พวกเขาซาบซึ้งแนวคิดนี้แล้ว ขณะนี้ได้เกิดแนวคิดเรื่องนี้ ไปมากมาย หลายโครงการ ที่ชาวบ้านสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง ไม่ว่าเกษตรอินทรีย์ การทำนา การทำเกษตร การเลี้ยงสัตว์ เพราะเห็ด ฯลฯ
ความพออยู่พอกินเป็นขั้นตอนต่อไปในการแสวงหาความรู้ภายในคือ "จิตวิญญาณ" การเอาจิตให้รอดจากโลก หมายถึง การรู้เท่าทันร่างกาย จิตใจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ฯ ที่เราเกี่ยวข้องอย่างเป็นเอกภาพ นั่นคือ เราจะอยู่กับมันอย่างเอื้ออิงกันอย่างไร และไม่ตกเป็นทาสมันอย่างไร
นี่คือ เป้าหมายของในหลวง ในขั้นต้น มีอาหารกิน มีที่อยู่ ไม่ลำบาก ต่อไปขั้นตอนสู่ศาสนาคือ เมื่อครอบครัวมีความพอเพียงไม่เดือดร้อน ก็เป็นฐานให้แสวงหาทางในต่อไปคือ ศึกษาพัฒนาจิตวิญญาณให้สูงขึ้น และรอบคอบขึ้น
แนวคิดโครงการของอ. เชื่อว่า เป็นการเตรียมเพาะกล้า เพื่อนำไปพัฒนากลไกสังคมในอนาคตให้ลูกหลานชาวอีสานให้รู้หลักวิถีพอเพียง มิต้องอพยพเข้าเมืองกรุง ที่น่าชื่นชมคือ สร้างบุคคลากรที่เรียกว่า "จิตอาสา" เพื่อนำพากลุ่ม ชุมชน นับว่า หายากในยุคปัจจุบัน เพราะคนมุ่งเอาแต่ผลส่วนตัวมาก
ขอให้แนวคิดนี้ขยายไปสู่ระดับรากหญ้าคือ ชาวบ้านอย่างจริงจังนะครับ ขอสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ครับ