ทฤษฎีความยุ่งเหยิง ตอนที่ 3 สติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์


... เมื่อเช้าวันนี้ (12 ก.ย. 57) ได้อ่านกำหนดการ "กิจกรรมรับน้องปลอดเหล้า" ในวันเสาร์ (13 ก.ย. 57) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รุ่นพี่จัดให้รุ่นน้องทุกปี อยู่ในความดูแลของอาจารย์หลายๆ ท่านไม่มีอะไรที่น่ากังวล เป็นกิจกรรมผูกสัมพันธ์พี่น้องสรวลเสเฮฮา 

... แต่ก็มีที่น่าสนใจเป็นพิเศษอยู่ก็คือในส่วนของกิจกรรมเดินสายไหว้พระ และเจ้าที่ด้วย การไหว้พระนั้นเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่เรื่องการไหว้เจ้าที่นั้นถ้าคิดให้ดีก็ดี คิดให้ไม่ดีก็ทำให้ยุ่งเหยิงได้ ตัวอย่างการคิดให้ดีก็คือ เป็นการแสดงออกถึงการเป็นคนจิตใจอ่อนโยนให้ความเคารพผู้อื่น ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่านักศึกษาที่ร่วมกิจกรรมนี้จะเข้าใจอย่างนี้หรือปล่าว เกรงว่าจะคิดเป็นอย่างอื่นแล้วจะควบคุมสติได้ดีหรือปล่าว นักศึกษาที่เคยมีพฤติกรรมควบคุมจิตตัวเองไม่ได้ (ผีเข้า) เมื่อไปอยู่ในบรรยากาศแบบนั้นต้องควบคุมจิตตัวเองให้ดี ซึ่งห่างหายมาหลายปี แต่ปีนี้มีมากหลายราย กิจกรรมเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2557 ของคณะอุตสาหกรรมเกษตร แสดงอาการ 6 คนพร้อมๆ กัน หรือที่หอพักก็เป็นบ่อย คืนวันพุธ (10 ก.ย. 57) ก็มีอีก ซึ่งตามความเชื่อของคนที่แสดงอาการทุกคน เมื่อถามหลังจากมีสติดีแล้วก็ได้ข้อมูลสรุปได้ว่าที่ตัวเองต้องเป็นอย่างนั้น (ผีเข้า) เป็นเพราะเจ้าที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองที่มีอยู่จากที่บ้านของตัวเองทุกราย นั่นคือ ทุกคนมีความเชื่อมาก่อนและเคยมีอาการมาก่อน จึงสรุปได้เบื้องต้นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทุกกรณี "ไม่เกี่ยวกับเจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่เลย" อันนี้เป็นข้อสรุปสำหรับคนที่เชื่อเรื่องผี แต่สำหรับผู้อ่านท่านใดที่ไม่เชื่อเรื่องผี ก็คือ นักศึกษาเหล่านี้เคยมีพฤติกรรมความเชื่อแบบนี้มาก่อน เมื่อมาเจอบรรยากาศแบบนี้อีก ก็จะแสดงอาการแบบนี้อีก เป็นเรื่องของความเชื่อของจิตใจของเขา ไม่ได้แกล้งทำ นักศึกษาไม่ได้บ้า (แต่คนเขียนบทความนี้ไม่แน่ว่ากำลังจะบ้าหรือบ้าพ้นไปแล้ว เหอๆ) 

... ดังนั้นจึงควรเน้นเรื่องการทำความเข้าใจ เพราะกิจกรรมนี้ดี "ฝึกการมีสัมมาคารวะ ให้ความนอบน้อมเกรงใจผู้อื่น เอาสิ่งที่มองไม่เห็นเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเพื่อสร้างกำลังใจให้ตัวเอง ไม่ใช่คิดเรื่องอภินิหารย์" ข้าพเจ้าเองไม่ได้อยู่ร่วมกิจกรรม และถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครมาถามอะไร แต่ที่ผ่านมาพอมีปัญหาแล้วโทรศัพท์หาข้าพเจ้าทุกที กล่อมทางโทรศัพท์ก็มี ถ้าวันเสาร์นี้มีใครแสดงพฤติกรรมดังกล่าวอีก คนอื่นๆ ตั้งสติให้ดีอย่าให้สติแตกเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องของจิตวิทยาหมู่ คิดเสียว่านี่เป็นกรณีศึกษาให้เราได้เรียนรู้สรรพสิ่ง ตั้งสติได้แล้วให้บอกว่าใจเย็นๆ เรายินดีที่จะสนทนาด้วย ไม่ถือว่าท่านกำลังสร้างความเดือดร้อนให้เรา ถ้าความประสงค์ของท่านไม่เกินกำลังของเรา เรายินดีช่วยท่าน ไม่ถือว่าท่านร้องขอ และท่านไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้เรา แต่ท่านกำลังเป็นโอกาสให้เราได้สร้างกุศล แล้วถามว่า ท่านประสงค์สิ่งใด ถ้าตอบว่าต้องการข้าว ต้องการเลือดหมูเลือดไก่ นี่แสดงว่าเป็นพวกสัมภเวสี เราขู่ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ แล้วบ่อยครั้งพวกนี้จะมาอ้างตัวว่าเป็นเทวดาโน่นนี่ เทวดาจริงไม่มาขอข้าวคนกินหรอก พวกนี้ตอนมีโอกาสสร้างบุญ (อาจเคยเป็นคน) แต่กลับไม่ใส่ใจ ตายไปดวงจิตเร่ร่อนเที่ยวหิวอยู่ เราก็ให้ตามที่ร้องขอได้ถ้าสะดวก ให้ต่อรองเอาเท่าที่สะดวก แต่ถ้าจะเอาให้ครบตามที่ขอ ก็บอกว่างั้นกำลังสร้างความเดือดร้อนให้เรา ท่านกำลังสร้างบาป ท่านจะทุกข์ทรมานกว่าเดิม ขู่เยอะๆ พวกนี้มีความทุกข์แต่ไม่ค่อยเกรงกลัวบาป แต่เราก็ยังให้ได้ถือว่าให้ทาน แต่ย้ำว่าไม่ต้องกลัว มากเรื่องนักตบบ้องหูได้เลย ตั้งนะโม 3 จบ ระลึกถึง ท้าวเวสสุวรรณ ขอให้ท่านมาช่วย จัดการให้ได้ เอาเหรียญพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่เชื่อถือมาจัดการก็ได้ แต่สำหรับอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มจิตดี อาจเรียกว่า พรหม เทพ เทวดา ขึ้นไป เหล่านี้อำนาจจิตจะสูง แต่จะไม่เรียกร้องสิ่งใด เพราะเขาถือว่าการเรียกร้องนั้นเป็นบาป เขาจะบำเพ็ญเพียรดวงจิตเพื่อให้พลังแห่งจิตสูงขึ้น จิตเหล่านี้จะมีแต่กุศล เป็นจิตงดงาม แม้เราจะบอกว่าเราให้ได้ ไม่ถือว่าเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้เรา เขาก็จะไม่เรียกร้อง แล้วแต่เราจะให้ ถ้าเราประสงค์จะให้จริงๆ ต้องถามให้ดี ถามตรงๆ จะไม่บอก เขากลัวบาปมาก แต่การที่เราได้ให้กับจิตเหล่านี้เราจะได้บุญมากเหมือนกัน ในขณะที่จริงๆ แล้วที่เขามาแสดงบารมีนี่เขาต้องการมาสนทนาธรรม มาชี้แนะบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเป็นโอกาสที่เขาจะได้สร้างบุญให้ตัวเอง เขาไม่มีร่าง ภาวะแบบนั้นทำบุญได้ยาก ต้องใช้ร่างคนเป็นเครื่องมือจึงจะทำได้ ให้ขอคำชี้แนะเรื่องบุญกุศล เพียงแค่เขาได้เอ่ยถึงพระธรรมเล็กๆ น้อยๆ เขาก็เป็นกุศลยิ่งแล้ว ดังนั้นต้องสร้างบรรยากาศให้สงบ เหมือนกำลังจะสวดมนต์กัน ส่วนกรณีที่เขาไม่ได้เจตนามาสนทนาธรรม อาจจะมาเตือนเราบางอย่าง ก็ให้รับฟังไว้ พอสบายใจเขาจะไปเอง ... แต่ปัญหาอยู่ที่คนที่ถูกใช้ร่าง หรือถูกบังคับจิต (ผีเข้า) เมื่อผีออกไปแล้ว เจ้าตัวก็จะยังควบคุมจิตตัวเองได้ไม่ดี เป็นการเปิดโอกาสให้จิตอื่นๆ ใช้ร่างได้อีก ดังนั้นนักศึกษาคนใดที่อยู่ในข่ายนี้จะต้องฝึกสมาธิให้ดี ฝึกให้มีสติอยู่กับตัวให้แน่วแน่ อย่าลืมตัว แต่การฝึกนี่ไว้ใช้ในอนาคต สำหรับวันเสาร์นี้คงไม่ทันได้ใช้ ก็ต้องอาศัยเพื่อนๆ คอยถามคอยคุยให้สติอยู่กับตัว เช่น ถามว่าเมื่อเช้ากินข้าวยัง ออกจากหอ ก้าวเท้าไหนออกก่อน มากับใคร อะไรประมาณนี้ 

... ตั้งแต่ประโยคที่ว่า "ไม่ถือว่าท่านกำลังสร้างความเดือดร้อนให้เรา" จนถึงประโยคนี้เหมาะสำหรับท่านที่เชื่อเรื่องผีได้อ่าน แต่สำหรับบางท่านที่ไม่เชื่อ หรือนักวิชาการที่คิดว่ารู้เท่าทันโลกใบนี้หมดแล้ว ที่คิดว่าฉันไม่เชื่อหรอกเพราะพิสูจน์ไม่ได้ ข้าพเจ้าก็ไม่ขอแย้งใดๆ แต่ฝากข้อคิดนิดนึงว่าที่ไม่เชื่อนั้นเพราะพิสูจน์ไม่ได้ หรือ เป็นเพราะ "ไม่มีปัญญาจะพิสูจน์ " กันแน่ 

... สรรพสิ่งในเอกภพ เกิดขึ้นจากการระเบิดของพลังงานที่ถูกอัดแน่นจนคงสถานะอยู่ไม่ไหว เกิดระเบิดออกมา เชื่อกันว่าทฤษฎีบิ๊กแบงนี้เป็นไปได้มากที่สุด ถ้าอย่างนั้นคิดต่อ แสดงว่าสรรพสิ่งเกิดจากพลังงานบางส่วนรวมกันจนเป็นอิเล็กตรอนวิ่งรอบนิวเคลียส เราไปตั้งชื่อว่าอะตอม จำนวนอิเล็กตรอนที่วิ่งรอบนิวเคลียสไม่เท่ากันเรียกอะตอมคนละชนิดกัน มากกว่าหนึ่งอะตอมอะตอมรวมกันเรียกโมเลกุล หลายๆ โมเลกุลรวมกันเป็นเซลล์ หลายๆ เซลล์รวมกัน เป็นพังผืดบ้าง ระยางค์บ้าง เส้นเอ็น เส้นผม กระดูก น้ำเลือดฯลฯ สื่อสารด้วยความถี่ของลิ้นไก่ ใช้ลิ้นบ้าง ปากบ้าง ฟันบ้าง บังคับให้ความถี่เปลี่ยนรูปร่าง แล้วเรียกตัวเองว่ามนุษย์ ทีนี้ลองกลับไปคิดว่ามนุษย์ก็เกิดจากพลังงาน หมู หมา กา ไก่ ต้นไม้ น้ำ ก้อนหิน โลก ดวงดาว ระบบสุริยะ ดาราจักรทางช้างเผือก เอกภพ ฯลฯ ก็เกิดจากพลังงานเหมือนกัน แต่พลังงานเมื่อคราวบิ๊กแบงนั้นไม่ได้หมายความว่าต้องกลับไปรวมกันเป็นอนุภาค หรือเป็นอะตอมเพียงอย่างเดียว สรรพสิ่งที่เกิดจากพลังงานแล้วไม่ได้รวมอยู่ในรูปของอนุภาค หรือวัตถุก็มี เช่นที่มนุษย์พอจะใช้อวัยวะตรวจจับได้ โดยใช้อุปกรณ์ช่วยก็คือความร้อน ความร้อนไม่ใช่วัตถุ ถ้าเป็นวัตถุต้องมีมวล (น้ำหนัก) เอาเตารีดเย็นๆ ไว้บนตาชั่ง พอเสียบปลั๊กให้ร้อนน้ำหนักไม่เพิ่ม ถ้าน้ำหนักเพิ่มคงจะสนุก อีกอย่างก็คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มนุษย์ไม่มีอวัยวะตรวจจับโดยตรงแต่ใช้อุปกรณ์อื่นๆ เข้าช่วยเช่น โทรศัพท์มือถือเป็นต้น ดังนั้นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถตรวจจับได้ด้วย หู ตา จมูก ลิ้น กาย ไม่ใช่ว่าจะไม่มี เพียงแค่ถ้าโลมาส่งเสียงกันที่ความถี่เกินสองหมื่นเฮิรตซ์เราก็ไม่ได้ยินแล้ว แสงอินฟราเรดจากรีโมทโทรทัศน์เราก็มองไม่เห็นแล้ว (ที่เห็นรางๆ นั้นไม่ใช่อินฟราเรด) ก๊าซหุงต้มถ้าไม่เติมกลิ่นเหม็นไว้ให้ดมตอนรั่ว เราก็จะไม่รู้ว่ามันรั่ว (ก๊าซธรรมชาติ CNG หรือ NGV เขาไม่เติมกลิ่นเพื่อประหยัดต้นทุน ถ้ารั่วก็ตัวใครตัวมัน เหอๆ) เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้นการที่เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อสิ่งใดเราต้องมีเหตุผลรองรับ เราเชื่อสิ่งนี้เพราะ ... และในทางตรงกันข้าม เราไม่เชื่อสิ่งนี้เพราะ ... ซึ่งจะเห็นได้ว่าข้อความข้างต้นนั้นไม่ได้เขียนให้เชื่อเรื่องผี แต่เราควรเปิดใจกว้างว่า “เหล่านี้เป็นการเรียนรู้” ไม่ใช่มองคนที่เชื่อว่างมงาย คนที่สนใจเรียนรู้ (เชื่อ) ก็ไม่ควรงมงาย และไม่ควรไปว่าคนไม่เชื่อว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เดี๋ยวจะทะเลาะกันโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย 

... สิ่งที่ตรวจจับไม่ได้นั้นเราเอาหู ตา จมูก ลิ้น กาย เป็นสำคัญ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วตัวรู้คือจิต หากเรากำลังตั้งใจอ่านหนังสือ แล้วมีคนพูดอะไรบางอย่าง เราไม่ได้ยินเพราะเราไม่ได้สนใจ หรือจิตเราไม่ได้รับรู้ ในขณะที่เยื่อแก้วหูสั่นตามความถี่ที่ลิ้นไก่คนพูดสร้างขึ้น กระดูกรูปค้อน รูปทั่ง รูปโกลนสั่นตาม ส่งกระแสการสั่นนั้นไปให้สมองส่วนข้างของสมองกลีบขมับ (Temporal lobe) สมองรับรู้แต่เราไม่ได้ยินเพราะจิตไม่รับ หรือกรณีแพทย์ใช้ไฟฉายส่องลูกตา (ปกติส่องให้ลำแสงไปลงที่หน้าผาก) ของผู้ป่วยดูการตอบสนองของรูม่านตา (pupillary reflex) คนป่วยสลบไปแล้ว ไม่รู้สึกตัว แต่ถ้ารูม่านตายังตอบสนองปกติ ก็แสดงว่าอาการไม่หนัก คำว่าตอบสนองนั้นหมายถึงสมองยังทำงาน สมองรู้ว่ามีแสง แต่คนไข้ไม่รู้เพราะไม่มีสติ “สติ คือ ผู้ระลึกถึงจิตอยู่เสมอๆ นั่นเรียกว่าสติความระลึกได้ จิต คือ ผู้คิด ผู้นึก ผู้ส่งส่าย, อาการเป็นอย่างนั้นเรียกว่าสติ ถ้าไม่มีจิตมันก็ไม่มีสติ ถ้าไม่มีสติมันก็ไม่มีจิต แท้ที่จริงก็อันเดียวกันนั่นแหละ แต่มันเป็นอาการ (ของจิต) คนละอย่างกัน (เจตสิก ๕๒) หน้าที่คนละอันกัน สติเหมือนกับพี่เลี้ยง จิตเหมือนกับลูกอ่อน ควบคุมรักษากันอยู่ตลอดเวลา ลูกอ่อนที่มันซุกซน พี่เลี้ยงต้องระวังอย่างเข้มแข็ง ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะหลุดพลัดโผไปตกถูกของแข็ง หรือตกไปในที่ลุ่มทำให้เจ็บได้ ถึงอย่างไรก็ต้องรักษาสติตัวเดียวเท่านั้นแหละ พี่เลี้ยงต้องรักษาอยู่ตลอดเวลา กว่าจะพ้นอันตรายได้ มันใช้เวลาหน่อย เลี้ยงเด็กมันก็หลายปีกว่าจะเติบโตขึ้นมาได้ ถึงเติบโตขึ้นมาแล้วก็ต้องระมัดระวังสิ่งอื่น เช่นมันซุกซน วิ่งเล่นอะไรต่างๆ ต้องระมัดระวัง แต่จำเป็นเพราะมันยังเป็นเด็กอยู่ ระวังจนใหญ่โตเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้น ก็ยังต้องระวังอยู่ตลอดเวลา เมื่อทำชั่วประพฤติผิด สติตัวนี้ใช้อยู่ตลอดเวลา ใช้ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบโต ใช้ตั้งแต่สติผู้คิดผู้นึกทีแรกโน่น ตลอดจนมันส่งส่ายไปสารพัดทุกเรื่องทุกอย่าง สติต้องรักษาอยู่ตลอดเวลา ส่วนเด็กนั้นเรียกว่าเป็นของมีตนมีตัว มันของยากหน่อย แต่เมื่อเราคุมอยู่แล้ว จิตกลายเป็น (เปรียบเสมือน) ของมีตัว ปรากฏเห็นชัดเลย จิตอยู่หรือจิตไม่อยู่ จิตวิ่งว่อนเที่ยวไปในที่ต่างๆ เห็นชัดเลยทีเดียว เป็นตัวเป็นตนแท้ทีเดียว” (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย วันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2523 คัดลอกจากจากหนังสือ เทสกานุสรณ์ หน้า 159) 

... ดังนั้นการที่เราจะรับรู้ได้หรือรับรู้ไม่ได้ด้วยหู ตา จมูก ลิ้น กาย ก็ต้องมีสติในการรับรู้ได้และมีสติในการรับรู้ไม่ได้ด้วย หากเรามีสติในการรับรู้ไม่ได้ด้วยหู ตา จมูก ลิ้น กาย มันก็จะทำให้เหลือหนทางการรับรู้ด้วยจิต อำนาจแห่งจิตเป็นได้ทั้งผู้รับรู้และผู้สร้าง อย่างเช่น บั้งไฟพญานาค เป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดจากอำนาจจิต สังเคราะห์โฟตอน (Photon) หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าขึ้นมา ซึ่งต่างจากกรณีที่เรามองเห็นเงาคนแต่คนข้างๆ เรากลับมองไม่เห็น กล้องถ่ายภาพถ่ายไม่ติด นี่เป็นเพราะเรารับด้วยจิต ส่วนบั้งไฟพญานาคนั้นถ่ายภาพได้ นักวิชาการที่คิดรู้เท่าทันโลกแล้วและไม่เชื่อเรื่องของจิต น่าจะพิสูจน์หรือตอบให้ได้ว่าลูกไฟนั้นมีต้นเหตุทางวิทยาศาสตร์มาจากไหน ในโลกออนไลน์มีเขียนไว้มากมาย รวมทั้งในคลิปยูทูบ ก็มีให้ศึกษาหลายๆ กรณี แต่อย่างไรก็ตามควรศึกษาอย่างเป็นผู้เรียนรู้ ไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือไม่เชื่อ (เท่าที่ได้ศึกษาจากคนที่ตอบทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ค่อยจะเชื่อได้) แต่เรียนรู้ด้วยสติ รวมถึงท่านที่อ่านบทความนี้ด้วย ขอให้อ่านอย่างมีสติ และขอขอบคุณที่ใช้สติอ่านจนจบครับ

หมายเลขบันทึก: 576109เขียนเมื่อ 12 กันยายน 2014 13:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กันยายน 2014 13:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

"...รับน้องปลอดเหล้า..." (and I hope 'smoke-free' too. (and while we are at it 'sugar-free', processed-fat-free, no sitting for over 1 hour, ...;-))

Cheer!

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท