ปัจจุบันมีผู้นิยมชมชอบการทำเกษตรปลอดสารพิษ เกษตรอินทรีย์อยู่มากทีเดียวทั้งภายในและต่างประเทศต่างก็ให้ความสำคัญ กอรปกับมีการสนับสนุนจากหน่วยงานหลายภาคส่วนทั้งรัฐและเอกชน ส่งผลให้ภาคเกษตรที่มีกระบวนการผลิตแบบไม่ใช้สารพิษ หรือมีรูปแบบการปลูกหรือประกอบอาชีพเกษตรกรรมและได้ผลผลิตจากพืชไร่ไม้ผลออกมาแล้วไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ปลอดภัยต่อผู้บริโภคก็มักจะมีความต้องจากจากผู้บริโภคค่อนข้างมาก บางครั้งถ้าตั้งราคาแบบย่อมเยาว์ผลผลิตที่ออกมาก็แทบไม่เพียงพอต่อความต้องการ ยิ่งมีปริมาณมากๆและสามารถสร้างความต่อเนื่องของผลผลิตได้ห้างโมเดิร์นเทรดใหญ่ในเมืองก็แทบจะจองตัวแย่งชิงกันเลยนะครับ อันนี้อ้างจากข้อมูลจริงที่มีสมาชิกของชมรมฯๆปประสบพบเจอมา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพาะเห็ดหรือกลุ่มที่ปลูกมะยงชิดแถวนครนายก
รูปแบบการทำเกษตรปลอดสารพิษ คือการค่อยๆลดละเลี่ยงเลิกการใช้สารพิษไปทีละน้อยและพยายามใช้สิ่งทดแทนปุ๋ยเคมีที่มีราคาแพงด้วยการใช้หินแร่ภูเขาไฟจากธรรมชาติ ซึ่งมีแร่ธาตุและสารอาหาเกือบครบถ้วนกับความต้องการของพืช สัตว์และจุลินทรีย์รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่อยู่ในดิน เรียกว่า กลุ่มหินแร่ภูเขาไฟโดยเฉพาะหินแร่ภูเขาไฟที่ชื่อว่า พูมิชซัลเฟอร์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของทางชมรมเกษตรปลอดสารพิษที่ได้มีการนำมาพัฒนาปรับปรุงให้มีองค์ประกอบของแร่ธาตุและสารอาหารทั้ง ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม กำมะถัน แมกนีเซียม เหล็ก ทองแดง แมงกานีส สังกะสี โบรอน โมลิบดีนัม นิกเกิล ไทเทเนียม ซีลีเนียมและซิลิก้าอีกกว่า70% ฯลฯ ถ้าท่านผู้อ่านสังเกตุจะเห็นว่า พูมิชซัลเฟอร์นั้นจะขาดก็แต่เพียงไนโตรเจนเท่านั้น ถ้าเราไม่เผาตอซังฟางข้าว หรือสร้างธนาคารปุ๋ยหมักเก็บไว้ในพื้นที่ว่างๆดังที่เคยบอกเล่าไว้ในบทความก่อนๆและกระตุ้นให้เกิดการย่อยสลายได้อย่างรวดเร็วโดยการใช้จุลินทรีย์สัตว์สี่กระเพาะก็จะทำให้เรามีไนโตรเจนมาใช้ได้โดยไม่ต้องซื้อ
การใช้หินแร่ภูเขาไฟเติมเต็มลงไปในแปลงนาอยู่ทุกครั้งที่มีการเพาะปลูกคือเติมลงไปปรับปรุงบำรุงดินครอปละครั้งหรือหนึ่งรอบการผลิตก็เปรียบเหมือนเป็นการจำแลงแปลงพื้นที่ทำเกษตรของเราให้เหมือนเกาะบาหลี อินโดนีเซีย ฟูจิประเทศญี่ปุ่นซึ่งส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรมอยู่บนฐานของลาวาภูเขาไฟเก่าอันมหึมาหลายล้านปี ซึ่งนักท่องเที่ยวทั่วโลกเดินทางไปท่องเที่ยวศึกษาดูงานการผลิตการเกษตรที่แทบจะไม่มีการใช้สารเคมีเข้าไปแทรกแซงแต่อย่างใดในปีหนึ่งๆ หลายหมื่นหลายแสนคน การใช้หินแร่ภูเขาไฟร่วมกับปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกก็จะช่วยทำให้ดินหรือองค์ประกอบของดินเติมเต็มความอุดมสมบูรณ์ครบโภชนาการของพืชทั้งธาตุหลัก ธาตุรอง จุลธาตุและธาติเสริมประโยชน์ ทำให้ลดการใช้ปุ๋ยเคมีหรือเมื่อดินมีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอก็แทบไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมีได้เลย ดังองค์ประกอบของดินตามป่าเขาลำเนาไพรที่ช่วยให้ต้นไม้เจริญเติบโตโดยไม่ต้องมีมนุษย์คนใดเข้าไปฉีดพ่นใส่ปุ๋ยแม้แต่เม็ดหรือหยดละอองเดียว ดินที่ไม่ต้องใส่ปุ๋ยเพิ่มคือดินที่มีองค์ประกอบของอินทรีย์วัตถุ 5% น้ำ 25% อากาศ 25% และอินทรีย์วัตถุ 45% นั่นเองครับ
มนตรี บุญจรัส
ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
ไม่มีความเห็น