วันนี้ (๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๗) มีโอกาสได้ลงพื้นที่ร่วมเรียนรู้โครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน (หลักสูตรศิลปะการแสดง) ของคณะศิลปกรรมศาสตร์ ภายใต้ชื่อโครงการ “ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านศิลปะการแสดงสู่ชุมชน โรงเรียนเทศบาลบ้านค้อ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม” ซึ่งมีอาจารย์ร้อยตรีเกิดศิริ นกน้อยและอาจารย์รัตติยา โกมินทรชาติ เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนโครงการฯ
โครงการดังกล่าวนี้เป็นโครงการต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่ดำเนินการในโรงเรียนนาเชือกพิทยาสรรค์ อำเภอนาเชือก จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
สำหรับปีนี้หลักสูตรศิลปะการแสดงปักหมุดหมายลงสู่โรงเรียนเทศบาลบ้านค้อด้วยเหตุผลสำคัญหลายประการ เช่น ระยะทางอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยฯ ไปมาระหว่างมหาวิทยาลัยกับโรงเรียนได้อย่างไม่ติดขัด
กอปรกับโรงเรียนมีความพร้อมในด้านอุปกรณ์ (เครื่องดนตรี) บุคลากร (ครูดนตรี-ครูนาฏศิลป์)
หรือพูดง่ายๆ ก็คือมี “วงโปงลาง” อยู่แล้วก็ว่าได้ จึงต้องการให้มหาวิทยาลัยได้ไปช่วยเพิ่มพูนทักษะดนตรีและนาฏศิลป์ให้กับนักเรียนและครู -
และที่สำคัญอีกประการคือโรงเรียนเทศบาลบ้านค้อได้รับงบประมาณสนับสนุนจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในวงเงิน 500,000 บาท เพื่อพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้ในเรื่องภูมิปัญญาและการแสดงท้องถิ่น
รวมถึงการนำวงโปงลางของโรงเรียนไปเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ประเทศเวียดนาม
ครับ, นั่นคือเหตุผล หรือโจทย์ของการขับเคลื่อนโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนในวาระนี้
ปัจจุบันโรงเรียนเทศบาลบ้านค้อ ครอบคลุมการบริการชุมชน 3 ชุมชนใหญ่ๆ คือชุมชนเครือวัลย์ ๑ -๒ และชุมชนศรีมหาสารคาม เปิดสอนอนุบาลจนถึงมัธยมต้น มีนักเรียนประมาณ ๒๖๐ คนและครูอีกจำนวน ๒๐ คน
งานวันนี้เป็นเพียงการเปิดตัว-เปิดงานเป็นครั้งแรก
มีผู้หลักผู้ใหญ่มาพร้อมเพรียงกันอย่าน่าชื่นใจ ทั้งปลัดเทศบาลและรองนายกเทศมนตรีเทศบาลบ้านค้อ
รวมถึงผู้ปกครองและคณะกรรมการการศึกษาอีกหลายคน ต่างเดินทางมาร่วมรับรู้รับฟังเป็นสักขีพยานเนื่องในปฐมบทการ "เปิดตัวโครงการ" นี้ร่วมกัน
วันนี้- ถึงแม้ฝนฟ้าจะไม่เป็นใจนัก แต่กิจกรรมทั้งปวงยังคงเคลื่อนไหลไปตามหมุดหมายที่วางไว้ เพียงแต่เวลาเท่านั้นที่ดูจะคลาดเคลื่อนออกไป
กระนั้นก็ถือว่าไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะทุกอย่างปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ สิ่งเหล่านี้คือการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง ฝึกการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าทั้งในระดับบุคคลและกลุ่มทีม
จากการสังเกตของผมเอง เห็นได้ชัดว่า อาจารย์ฯ วางระบบการทำงานให้กับนิสิตค่อนขางเป็นระบบ
ทีมทำงานหลักๆ มีป้ายชื่อประจำตัว (ชื่อเล่นและชั้นปี) เพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสารกับนักเรียน คณะครูและภาคีอื่นๆ
แต่ละกลุ่มคนถูกวางตำแหน่งการทำงานไว้ชัดเจน ทั้งที่เป็นฝ่ายลงทะเบียน ฝ่ายปฏิคม-สวัสดิการ ฝ่ายจัดคิวการแสดง ฝ่ายการแสดงและนันทนาการ ฝ่ายประเมินผล (แบบสอบถาม)
ครับ, นี่คือระบบและกลไกเล็กๆ ที่อาจารย์ฯ มอบหมายและจัดวางให้นิสิตได้มีส่วนร่วมต่อการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ยกเว้นพิธีการเท่านั้นที่อาจารย์ฯ ยังไม่อาจปล่อยให้นิสิตได้รับบทบาทหน้าที่นั่นเอง เพราะคงกลัวจะเสียงาน เนื่องจากมีผู้หลักผู้ใหญ่มาด้วยหลายท่าน
แต่คิดว่าครั้งคราวหน้า นิสิตคงมีโอกาสได้ “ถือไมค์” เป็น “พิธีกร” ด้วยตนเองบ้าง –กระมัง
การงานในวันนี้เริ่มต้นจากการกล่าวรายงานอย่างเป็นทางการ เพื่อประชาสัมพันธ์ย้ำเจตนารมณ์การทำงานร่วมกัน (เรียนรู้คู่บริการ) อีกครั้ง
ถัดจากนั้นเป็นการมอบของที่ระลึกให้กับโรงเรียนและเทศบาลบ้านค้อ
เมื่อมอบของที่ระลึกเสร็จ จึงเป็นการ “เปิดวง” ของ “ศิลป์อีสาน” ที่เพิ่งได้รับรางวัลชนะเลิศฯ ในระดับประเทศมาสดๆ ร้อนๆ ซึ่งประกอบด้วยนักดนตรีจากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์และนาฏศิลป์จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ เสมือนการบูรณาการศาสตร์จากทั้งสองคณะเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
ครับ, เป็นการบูรณาการที่ยากยิ่งต่อการแยกขาดออกจากกัน
ทั้งสองศาสตร์เป็นองค์ประกอบของกันและกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่ต่างอะไรจากการ “ทานข้าวเปล่า...ไม่มีอาหารให้เคี้ยว...ให้กลืน”
เมื่อทั้งสองศาสตร์เคลื่อนตัวออกหน่วยบริการสังคมร่วมกันเช่นนี้ จึงเหมือนเป็น “กับข้าวกับปลา” ที่ลงตัว รสชาติเอร็ดอร่อย ถึงอกถึงใจ อิ่มท้อง อิ่มใจ อิ่มทิพย์
สำหรับการแสดงวงโปงลาง (วงศิลป์อีสาน) ในวันนี้ประกอบด้วยชุดการแสดงหลัก ๓ ชุด ได้แก่ ฟ้อนตังหวาย เซิ้งกะลา และฟ้อนสาวสารคามลำเพลิน ซึ่งทั้งสามชุดสร้างความสนุกสนาน ตื่นตาตื่นใจให้กับนักเรียน ครูและผู้ปกครองเป็นอย่างมาก เสียดายก็แต่ทางโรงเรียนไม่ได้นำวงของตนเองมาแสดงโชว์ร่วมกัน –
อย่างไรก็ดีในมุมมองของผมนั้น หากสามารถนำวงโปงลางของโรงเรียนมาแสดงร่วมกันได้ จะช่วยทำให้การงานในวันนี้สมบูรณ์มากกว่าที่เป็นอยู่
และผมก็มองว่า เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ถือเป็นการ “ออกแบบ” กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมที่สำคัญไม่ใช่ย่อย
การแสดงร่วมกันในมิติของผม คือการสร้างการมีส่วนร่วมตั้งแต่ระยะแรกเริ่มเลยก็ว่าได้ ไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง เพราะยังไงๆ โรงเรียนก็มีวงและซ้อมวงกันอยู่แล้ว
การแสดงของนักเรียน อาจไม่จำเป็นต้องเต็มวง แต่อาจจะเลือกบางชิ้นบางประเภทมาโชว์ หรือเล่นร่วมวงกับพี่ๆ นิสิตก็ได้ เสมือนการต้อนรับผู้มาเยือนดีๆ นั่นเอง
และเมื่อเสร็จสิ้นการแสดงบนเวทีของนิสิตแล้ว ก็ถึงเวลาของการจัดกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ระหว่างนิสิตกับนักเรียนและคณะครู-ผู้ปกครอง เพื่อสร้างความคุ้นเคยต่อกันและกัน
ซึ่งกิจกรรมนี้สามารถเรียกเสียฮา-ชอบใจได้ไม่แพ้การแสดงดนตรีและนาฏศิลป์บนเวทีเลยทีเดียว เพราะแต่ละส่วนมีส่วนร่วมกับกิจกรรมจริงๆ
โดยส่วนตัวแล้ว ผมคาดหวังกับโครงการครั้งนี้มากกว่าทุกครั้ง
ผมปรารถนาให้หลักสูตรทำการศึกษาศิลปะการแสดงของชุมชนอย่างจริงๆ จังๆ ขับเคลื่อนเป็นระยะๆ ไม่ใช่จัดครั้งสองครั้งก็ปิดวงปิดงานงานหายเข้าหลีบเมฆ ราวกับมาเปิดวิกแสดงโชว์แล้วก็ลาลับสัญจรไปเปิดการแสดงตามที่อื่นๆไปเรื่อยๆ เพราะหัวใจของการบริการวิชาการแก่ชุมชนในมิติ “หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน” คือการ “เรียนรู้คู่บริการ” อันหมายถึงเรียนรู้ร่วมกัน ผสมผสานระหว่าง “องค์ความรู้ของชาวบ้านกับมหาวิทยาลัย” เข้าด้วยกัน เพื่อก่อให้เกิดทั้งคุณค่าและมูลค่า
และที่สำคัญคือ ไม่ใช่ทำตูมเดียวแล้วหนีหาย...
ครับ, ผมปรารถนาให้หลักสูตรทำงานชิ้นนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ศึกษาบริบท-ต้นทุนในชุมชนมาสู่การออกแบบการแสดงให้กับนักเรียน เชื้อเชิญปราชญ์ในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ขณะเดียวกันอาจารย์ก็ทำงานวิจัยไปด้วย และนั่นอาจหมายถึงการปักหมุดสู่การสร้างหลักสูตรท้องถิ่นในเรื่องเหล่านี้ด้วยก็เป็นได้
เช่นเดียวกับการปรารถนาให้หลักสูตรฯ ได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยการหนุนเสริมร่วมพัฒนาศักยภาพของนักเรียนและครูไปเรื่อยๆ เพื่อให้วงโปงลางของโรงเรียนเข้มแข็งกว่าที่ผ่านมา ดูแลและเรียนรู้ร่วมกันไปจนถึงห้วงของการยกวงไปเผยแพร่ที่เวียดนามเลยยิ่งดี –
และยิ่งพอได้รู้ว่าศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยฯ ก็เป็นครูสอนนาฏศิลป์อยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้ ผมว่า - ยิ่งสมควรที่จะต้องหนุนเสริมให้ลูกศิษย์ลูกหาได้มีพลังในการที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับโรงเรียนและชุมชน
แน่นอนครับ-เวทีครั้งนี้เป็นแค่การเปิดตัว เปิด (วง) เรียนรู้เท่านั้น ระยะทางแห่งการเรียนรู้ยังคงอีกยาวไกลนัก เพราะขณะนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องกำลังออกแบบและปรับความคาดหวังร่วมกัน ทั้งรูปแบบ ห้วงเวลา สถานที่ ซึ่งเป็นการพูดคุย (โสเหล่) ร่วมกันทั้งจากมหาวิทยาลัย-โรงเรียน-เทศบาล หรือกระทั่งชาวบ้าน
เมื่อแผนงานตกผลึกเป็นรูปธรรมแล้ว เราค่อยมาติดตามและร่วมเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันอีกทีก็แล้วกัน
๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘
โครงการ “ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านศิลปะการแสดงสู่ชุมชน โรงเรียนเทศบาลบ้านค้อ ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม”
(หนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน ม.มหาสารคาม)
เครดิตภาพ : บรรจง บุรินประโคน, พนัส ปรีวาสนา
ชื่นชมการทำงาน
อยากเห้นการทำงานด้านศิลปะอย่างต่อเนื่องเหมือนกัน
ชอบใจที่อยากเห็นนิสิตมีบทบาททั้งหมด
เคยไปที่หนึ่งมีแต่อาจารย์ทำงาน
นิสิตเลยไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
สื่อสร้างศิลป ศิลปสร้างสุข
มาร่วมชื่นชมการปลูกฝังวัฒนธรรมดีๆเช่นนี้ค่ะ...
-สวัสดีครับ
-เคยไปอยู่อีสาน(มุกดาหาร)มา 5 ปี
-ประทับใจความเป็นอีสาน
-ชอบเสียงโปงลาง...
-ชอบวัฒนธรรมประเพณี..อันดีงาม
-ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
โดยปกติงานบริการวิชาการ จะมีอาจารย์เป็นผู้ขับเคลื่อนอยู่แล้ว ซึ่งหมายถึงนำความรู้ของอาจารย์ไปถ่ายทอดต่อชุมชน โครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชนก็ยังคงยึดมั่นแนวทางการทำงานเช่นนั้น เพียงแต่ให้นิสิตเข้ามามรีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนกิจกรรม ทั้งเป็นผู้ช่วยอาจารย์ หรือในบางกิจกรรม ก็ให้นิสิตได้ออกแบบกระบวนการด้วยตนเอง เสมือนการนำทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติ แต่เป็นการปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ระหว่างนิสิต อาจารย์และชาวบ้าน บนโจทย์หลัก อันหมายถึงความต้องการของชุมชน นั่นเอง...
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ พี่วอญ่า-ผู้เฒ่า-natachoei--
สบายดีนะครับ
ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจนะครับ
งานศิลปะทุกแขนง สื่อสะท้อนให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนของจิตใจมนุษย์โดยแท้เลยทีเดียวครับ
สำหรับเวทีนี้ การเลือกชุมชน-โรงเรียนที่มีความพร้อมในระดับหนึ่งอยุ่แล้ว จะช่วยให้การงานขับเคลื่อนได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปซื้ออุปกรณ์มาตั้งวง ไม่ต้องเสียเวลาในการจ้าง-บรรจุครูผู้สอน แต่สามารถพัฒนาจากทรัพยากรที่มีอยู่แล้วได้เลย...
ตรงนี้ ง่าย แต่ก็ต้องลงแรงอย่างมาก
ดีหน่อยที่โรงเรียนและเทศบาลมีนดยบายหนุนเสริมอยู่แล้ว จึงน่าจะมองเห็นภาพที่จะเติบโตและสัมฤทธิ์ผลได้ไม่ยาก -
สวัสดีครับ พี่ใหญ่ นงนาท สนธิสุวรรณ
หากในอนาคตสามารถนำไปสู่การพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่น หรือสาระการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรมในโรงเรียนได้ ผมก็คิดว่านั่นคือความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ เพราะเป็นการสานสร้างมรดกทางสังคมให้คงอยู่ต่อไป เป็นการปลูกฝังความเป็นชาติผ่านวัฒนธรรมท้องถิ่นที่ดีงาม ครับ
ครับ เพชรน้ำหนึ่ง
อีสาน แล้งน้ำ แห้งแล้ง แต่ไม่แล้งน้ำใจ
ในทุกชาติพันธุ์อุดมด้วยน้ำใจและวัฒนธรรม
ไม่ว่าสุข หรือทุกข์แค่ไหน
คนอีสาน ก็มีดนตรีหลากทำนองที่ปลุกเร้าพลังให้กับตัวเองเสมอมา
ม่วนซืนโฮแซว ครับ-