เสียงสะท้อนของคนแม่ตาว: ความกลัวที่แท้


เสียงสะท้อนของคนแม่ตาว: ความกลัวที่แท้

โดย ณัฐวัณย์

เกือบสิบปีที่แล้ว พื้นที่ 12 หมู่บ้านในตำบลพระธาตุผาแดงและตำบลแม่กุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ถูกระบุว่าเป็นพื้นที่ปนเปื้อนสารแคดเมี่ยม ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการเจ็บป่วยเรื้อรังอย่างโรคไต มะเร็ง นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และกระดูกพรุน แน่นอนว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสุขภาพและคุณภาพชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ปนเปื้อนแคดเมี่ยมทั้ง 6 หมู่บ้านทำให้หน่วยงานราชการรวมทั้งบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในพื้นที่ต่างให้ความสำคัญและเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด แม้ค่าชดเชยหรือความช่วยเหลือทั้งหมดอาจไม่ครอบคลุมหรือสร้างความพอใจให้กับทุกคนได้ก็ตาม โดยเฉพาะข้อเสนอที่ขอให้ชาวบ้านห้ามปลูกพืชที่เป็นห่วงโซ่อาหารเพราะสารแคดเมี่ยมที่ตกค้างในดินและน้ำอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งคนปลูกและคนกิน

ช่วง 2-3 ปีแรกที่มีข่าวการปนเปื้อนแคดเมี่ยมในดินและในลำน้ำสายหลักของหมู่บ้าน ชาวนาหลายคนถึงกับวางคันไถแล้วหันมาปลูกพืชชนิดใหม่อย่าง “อ้อย” ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปส่งเสริม บางคนผันตัวเองไปใช้แรงงานรับจ้างในตัวเมืองแม่สอด เรียกได้ว่ามีการปรับเปลี่ยนอาชีพกันขนานใหญ่ในหลายครอบครัว เพราะหากมีคนรู้ว่าข้าวที่นำไปขายปลูกในพื้นที่ปนเปื้อนแคดเมี่ยมก็จะขายไม่ได้ จากคนที่เคยทำนาจึงต้องปรับเปลี่ยนมาทำไร่อ้อยหรือพืชอย่างอื่นซึ่งต้องอาศัยกระบวนการ เครื่องมือ และมีรอบการผลิตที่ต่างไปจากเดิม ทั้งยังมั่นใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผลผลิตที่เก็บเกี่ยวมาจะขายได้ทั้งหมดหรือไม่ เพราะแม้จะมีโรงงานประกาศรับซื้อผลผลิตแน่นอน แต่กระบวนการส่งเสริมให้ปลูกอ้อยก่อนจะมีการก่อสร้างโรงงานน้ำตาลรองรับก็ทำให้อดีตชาวนาที่พลิกผันมาเป็นชาวไร่รู้สึกไม่มั่นคงในอาชีพทำอ้อยกันสักเท่าไร

นอกจากวิถีการผลิตที่ต้องปรับเปลี่ยน ในฐานะที่ยังต้องบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก บางครอบครัวต้องหาซื้อข้าวจากพื้นที่อื่นที่ไม่มีการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมหรือเลือกซื้อข้าวถุงติดยี่ห้อซึ่งวางจำหน่ายตามร้านค้าหรือห้างสรรพสินค้าและมีราคาแพงกว่ามารับประทานแทนข้าวในนาตนเอง ไม่เพียงเฉพาะข้าวที่ใช้น้ำจากห้วยแม่ตาวหรือห้วยแม่กุเท่านั้นที่ถูกปฏิเสธ พืชผักสวนครัวที่ปลูกโดยใช้น้ำจากห้วยสองสายนี้ก็ถูกปฏิเสธจากคนซื้อด้วยเช่นกัน เพราะ “พอคนรู้ ก็ขายไม่ได้” ทั้งอาชีพทำนาปลูกข้าวและปลูกผักซึ่งเคยเป็นอาชีพหลักของคนในหมู่บ้านจึงค่อยๆ ลดน้อยถอยลง แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่นำความเจ็บช้ำใจมาให้ชาวบ้านมากไปกว่าการต้องซื้อข้าวจากที่อื่นมากินบนแผ่นดินตัวเอง

ส่วนอาชีพใหม่อย่างการปลูกอ้อย ด้วยเงื่อนไขที่ต้องปลูกบนพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อให้ได้ผลผลิตจำนวนมากจึงจะถึงจุดคุ้มทุนทำให้ชาวบ้านหลายคนล้มเลิกอาชีพปลูกอ้อยแล้วหันกลับมาปลูกข้าวตามเดิม เหตุเพราะ “พื้นที่น้อย ปลูกอ้อยไม่คุ้ม” แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าข้าวที่ปลูกอยู่ในพื้นที่ปนเปื้อนแคดเมี่ยมซึ่งมิได้ลดน้อยหายไปไหน แต่ชาวบ้านหลายคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “แคดเมี่ยมไม่กลัว แต่กลัวอดข้าว”


สำหรับชาวบ้านที่นี่ คำว่า “แคดเมี่ยม” ไม่เพียงสื่อความหมายให้รู้ว่าคือสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในดินและในลำน้ำสายหลักประจำหมู่บ้านเท่านั้น แต่มีอีกหลายคนที่เข้าใจหรือตีความไปว่าแคดเมี่ยมคือ “โรค” ชนิดหนึ่งที่เป็นแล้วต้องไปหาหมออย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะมีชาวบ้านหลายคนเอ่ยปากอย่างไม่ปิดบังว่า ตัวเอง “เป็นแคดเมี่ยม” ซึ่งตรงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่บนบัตรผู้ป่วยที่โรงพยาบาลแม่สอดออกให้เมื่อครั้งมีการคัดกรองผู้ป่วยใหม่ๆ ว่าคือ “บัตรผู้ป่วยแคดเมี่ยม” แต่เมื่อซักถามชาวบ้านต่อว่าคือโรคอะไร มีอาการอย่างไร ก็แทบไม่ได้คำตอบชัดเจนจากปากชาวบ้าน เช่นเดียวกับอาการปวดเมื่อยตามข้อหรือเจ็บกระดูกที่หลายคนไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นสาเหตุมาจากการปนเปื้อนของแคดเมี่ยม หรือเป็นภาวะเสื่อมของร่างกายที่เกิดจากการทำงานหนักมายาวนานตลอดชีวิต

ผ่านไปแล้วเกือบสิบปี ชาวบ้านส่วนใหญ่คลายความกังวลไปมากกับเรื่องแคดเมี่ยม จนถึงกับพูดว่า “ไม่

มีอะไรต้องกังวล ถึงแม้ตรวจเจอว่าเสี่ยงก็ไม่กลัว” ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขที่ก้าวหน้าขึ้นกว่าสมัยก่อน หรือเป็นเพราะความมั่นคงทางจิตใจที่ได้รับจากการช่วยเหลือเยียวยาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ แต่เป็นเพราะสภาวะข้างในจิตใจที่ส่งเสียงกระทุ้งออกมาดังๆ ว่า “ตอนนี้ไม่ได้กลัวแล้ว อะไรจะเกิดก็เกิด ทุกวันนี้อยู่ด้วยความหวังเพื่อลูกเพื่อหลาน” ที่น่าสังเกตก็คือเสียงเหล่านี้มาจากผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่

แต่ถึงกระนั้น หลายคนที่ยังไม่ก้าวเข้าสู่วัยชราก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้าน วิตกกังวล หรือหวาดกลัวกับสารปนเปื้อนที่ชื่อแคดเมี่ยมมากเหมือนเมื่อเป็นข่าวในยุคแรกๆ หากมองโรคภัยที่กำลังประสบหรือภาระโรคที่เกิดขึ้นว่าเป็น “ภาวะปกติ” ที่ต้องเผชิญ หลายคนจึงไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนกับแคดเมี่ยมมากไปกว่าปัญหาปากท้องในชีวิตประจำวัน ดังคำพูดของชาวบ้านคนหนึ่งที่บอกด้วยน้ำเสียงวิตกว่า “กังวลว่าเขาจะไม่ให้ปลูกข้าว เพราะจะไม่มีกิน”

เรื่องปากท้องของชาวบ้านยังเป็นเรื่องหลักที่วิ่งนำหน้าเรื่องอื่นๆ อยู่เสมอ ตราบใดที่รายได้หรือภาวะเศรษฐกิจในครัวเรือนยังไม่สัมผัสกับความมั่นคง และคงไม่มีสิ่งใดที่สำคัญไปกว่า เมื่ออยู่ๆ ผืนนาที่เคยปลูกข้าวและสืบทอดมายาวนานหลายชั่วอายุถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ปนเปื้อนแคดเมี่ยมและถูกสั่งห้ามไม่ให้ปลูกอีกต่อไป แม้จะมีค่าชดเชยหรือแนวทางแก้ไขปัญหาก็มิอาจเป็นหลักประกันในระยะยาวให้กับชีวิตที่ไร้ทางเลือกนี้ได้ หลายครอบครัวจึงตัดสินใจทยอยกลับมาปลูกข้าวหรือผักไว้บริโภคเองอีกครั้ง แม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่นเดียวกับบางคนในหมู่บ้านที่หันมาซื้อข้าวและผักที่ปลูกได้ในพื้นที่ปนเปื้อนเหล่านี้เช่นเดิม

ไม่มีใครบอกได้ชัดว่าผลกระทบจากการที่ชาวบ้านต้องใช้ชีวิตในพื้นที่ปนเปื้อนแคดเมี่ยมจะปรากฎผลรุนแรงขึ้นเมื่อใด เช่นเดียวกับที่ชาวบ้านหลายคนก็ไม่ได้สนใจจริงจังว่าจะมีนโยบายใดของหน่วยงานใดเข้ามาบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่บ้าง ชาวบ้านส่วนใหญ่จำไม่ได้หรือแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าความช่วยเหลือที่ผ่านมาเป็นโครงการอะไรของใคร การแก้ปัญหาโดยไม่ละเลยเรื่องปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ควบคู่ไปกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเป็นระบบภายในหมู่บ้าน โดยให้ความสำคัญกับการสร้างกระบวนการเรียนรู้และทำการสื่อสารสร้างความเข้าใจระหว่างหน่วยงานกับประชาชนผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอต่างหากที่จะขจัดความกลัวที่แท้ไปจากใจของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบได้จริง

ขอบคุณภาพจาก โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม

หมายเลขบันทึก: 575109เขียนเมื่อ 25 สิงหาคม 2014 11:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 สิงหาคม 2014 11:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท