เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาฉันถูกปรึกษาทางโทรศัพท์จากหัวหน้าหอผู้ป่วยพิเศษและอาจารย์เภสัชในเรื่องผู้ป่วยคนเดียวกันในประเด็น “ในเวลาที่เหลือน้อย...จะช่วยคุณตาอย่างไรดี” โดยอาจารย์เภสัชส่งนักศึกษาเภสัชปีที่ 6 มา 2 คน เพื่อมาปรึกษาส่วนหัวหน้าหอผู้ป่วยส่งญาติมาปรึกษา ฉันให้นักศึกษาเภสัชลงไปเยี่ยมผู้ป่วยและครอบครัว เพื่อประเมินสภาพทั่วไปและหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ป่วยและครอบครัว โดยแนะนำการหาข้อมูลให้ครบ 4 มิติ คือ กาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ แนะนำการทำแผนผังครอบครัวฉันให้ข้อคิดกับนักศึกษาเภสัชว่า “การที่ช่วยคนๆหนึ่งได้ต้องรู้จักเขาทั้งคน นอกจากความเจ็บป่วยยังต้องรู้ถึงสังคมวัฒนธรรม รู้ใจและเป้าหมายชีวิต ถึงจะให้ใจได้ แล้วนำข้อมูลมาเพื่อพูดคุยกันและมาวางแผนร่วมกันในการไปเยี่ยมครั้งต่อไป โดยให้นักศึกษาเภสัชไปเรียนรู้ด้วยกันกับฉัน”
จากข้อมูลที่ได้จากญาติและนักศึกษาเภสัชมีดังนี้ ผู้ป่วยชายไทย อายุ 89 ปี ศาสนาพุทธ อาชีพ ข้าราชการบำนาญ ( ศึกษานิเทศน์) ป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ที่มีการลุกลามไปกระดูก และกล่องเสียง นอกจากนี้มีไตวายเรื้อรังมา 7 ปี ต้องล้างไตสัปดาห์ละ 2 ครั้ง มีความดันโลหิตสูง มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง มีโรคเบาหวาน ที่สำคัญผู้ป่วยไม่ทราบว่าเป็นมะเร็งทราบเพียงแต่เป็นก้อนที่ปอด ผู้ป่วยมีบุตรสาว 5 คน บุตรสาวที่อยู่อเมริกา 1 คน
วันนี้ฉันนัดกับนักศึกษาเภสัชเวลา 16 .00 น. ไปเยี่ยมคุณตาที่หอผู้ป่วยพิเศษ ภาพที่เห็นตรงหน้า คือ คุณตานั่งอยู่บนเตียงรู้สึกตัวดีแต่ดวงตาดูเหม่อลอย และดูไม่สดใสเท่าใดนัก อ่อนเพลีย หายใจเหนื่อย ใส่สายออกซิเจน 3 ลิตรต่อนาที
หลังจากการเยี่ยมครั้งนี้ฉันสังเกตเห็น รอยยิ้มบนใบหน้าคุณตา แววตาสดใส พูดในสิ่งที่ที่เป็นความภูมิใจ เพื่อถอดบทเรียนฉันจึงให้น้องนักศึกษาเภสัช สะท้อนความรู้สึกจากการไปเยี่ยมคุณตา
ความรู้สึกจากการไปเยี่ยมคุณตา ( 30กรกฎาคม2557)
วันนี้ดิฉันได้มีโอกาสไปเยี่ยมคุณตาที่หอผู้ป่วยพิเศษเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่คุณตาเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องด้วยอาการ delirium จากภาวะโรคของคุณตาเองและ/หรือจากยาที่คุณตาได้รับ เดิมนั้นคุณตาเป็นผู้ป่วยเรื้อรังที่ได้รับการบำบัดทดแทนไตด้วยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมเป็นประจำทุกวันอังคารและวันศุกร์ แต่เมื่อไม่นานมานี้ คุณตาได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด และในขณะนี้โรคลุกลามไปกระดูก และกล่องเสียงแล้ว ทำให้คุณตามีอาการปวดกระดูกเป็นอย่างมาก และมีน้ำเสียงที่แหบแห้ง โดยในขณะนี้คุณตายังไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย เนื่องจากลูกสาวของคุณตาไม่ต้องการให้คุณตาทราบเพราะกลัวว่าคุณตาจะเสียใจและเครียดกับโรคที่เป็น
วันนี้เมื่อดิฉันเข้าไปในห้องที่คุณตาพักรักษาตัวอยู่ ภาพที่เห็นตรงหน้า คือ คุณตานั่งอยู่บนเตียงดูสดใสกว่าวันที่มาฟอกเลือดครั้งล่าสุดเล็กน้อย แต่ดวงตาของคุณตายังคงดูเหม่อลอย และดูไม่สดใสเท่าใดนัก แต่ความรู้สึกที่ดิฉันมีณขณะนั้น คือ ดิฉันรู้สึกดีใจที่เห็นคุณตาลุกขึ้นนั่งไม่ได้นอนอยู่บนเตียงเพียงอย่างเดียว เหมือนเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าคุณตายังคงสู้ไหว ซึ่งในวันนี้ดิฉันได้มีโอกาสไปเยี่ยมคุณตากับพี่ฟ่ง เมื่อพวกเราไปเยี่ยมคุณตานั้น พี่ฟ่งพูดคุยเรื่องราวต่างๆกับคุณตา พูดคุยในสิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจของคุณตา นั่นคือหน้าที่การงานและผลงานที่คุณตาเคยทำมาในอดีตล้วนแต่เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจทั้งสิ้น จึงทำให้ในระหว่างการพูดคุยนั้นคุณตามักมีรอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าเสมอ แววตาของคุณตาดูสดใสขึ้น และคุณตาอยากเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้พวกเราฟังเพราะคุณตามีจิตวิญญาณของความเป็นครูสูง คุณตาก็จะพยายามที่จะพูดที่จะอธิบายให้พวกเราเข้าใจ ความจำของคุณตาดีเยี่ยม เมื่อพี่ฟ่งและลูกสาวของคุณตาถามถึงเรื่องราวในอดีต คุณตาสามารถพยักหน้าหรือตอบว่าไม่ใช่อย่างชัดเจน ดิฉันรู้สึกดีใจมากที่เห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของคุณตา ในระหว่างที่พูดคุยกัน และดีใจมากที่คุณตาจำดิฉันและเพื่อนได้ว่า เป็นนักศึกษาฝึกงานที่คอยดูแลคุณตาเมื่อมาฟอกเลือดที่หน่วยไตเทียม
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ดิฉัน รู้สึกประทับใจและตื้นตันใจปะปนกันจากการพูดคุยกับคุณตาในวันนี้ นั่นก็คือ
ลูกสาวของคุณตาเล่าให้ฟังว่า "คุณตาเป็นคนมีวินัยเป็นอย่างมาก คุณตาปฏิบัติตามที่คุณหมอบอกอย่างเคร่งครัด คุณตามีวินัยในการดูแลตนเอง มีวินัยในการรับประทานยา คุณตาจำชื่อยาที่คุณตารับประทานอยู่ได้ทุกชนิด และคุณตามีความกระตือรือร้นเสมอเมื่อจะมาฟอกเลือดเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความไม่ย่อท้อต่อปัญหาหรือโรคที่เกิดขึ้นกับตนเอง แต่คุณตาพยายามที่จะอยู่กับโรคให้ได้"
ซึ่งในระหว่างการพูดคุยกันนั้นมีประโยคหนึ่งที่พี่ฟ่งถามคุณตาว่า “คุณตารู้สึกท้อหรือรู้สึกเบื่อมั้ยกับโรคที่เป็นอยู่”
คุณตาได้ตอบมาว่า “บางครั้งก็เบื่อ”
พี่ฟ่งจึงได้ถามต่อว่า “เวลาที่คุณตารู้สึกเบื่อ คุณตาทำอย่างไร”
คำตอบที่ได้รับจากคุณตาเป็นคำตอบสั้นๆ ที่ทำให้ฉันรู้สึกดีและประทับใจอย่างมากนั่นก็คือ “สมาธิ" คุณตาใช้วิธีการทำสมาธิ เมื่อคุณตารู้สึกเบื่อกับภาวะโรคหรือความเจ็บป่วยที่คุณตาเป็น โดยการสวดมนต์ด้วยบทสวดที่คุณตาสวดเป็นประจำ
คุณตาบอกว่า "บางครั้งนอนสวดมนต์ ทำสมาธิไปก็หลับไปเอง โดยไม่รู้ตัวและหายจากความเบื่อหน่าย"
นั้นแค่เพียงเล็กๆสิ่งนี้ที่คุณตาแสดงให้พวกเราเห็นเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าคุณตามีจิตใจอยู่ในระดับสูงใช้ธรรมมะข่มความรู้สึกที่ไม่ดีต่อตนเอง แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่คุณตาทำให้ดิฉันรู้สึกยกย่องในความคิดของคุณตา และต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ในขณะที่คุณตากำลังพูดนั่นก็คือ พี่ฟ่งถามคุณตาว่า “คุณตาน้อยใจบ้างมั้ยที่ลูกบางคนไม่ได้มาเยี่ยม”
คำตอบจากปากของคุณตาคือ “ไม่น้อยใจ...เข้าใจ” คุณตาพูดต่อว่า “เข้าใจว่าช่วงชีวิตของคนเราไม่เหมือนกันสถานการณ์ไม่เหมือนกันต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์เราเข้าใจเขาว่าเหตุการณ์และเวลาเป็นตัวบีบให้เขาต้องทำแบบนี้เพราะฉะนั้นจึงไม่น้อยใจและไม่เสียใจ”
คำพูดที่ออกมาจากปากของคุณตาทำให้ดิฉันตื้นตันใจเป็นอย่างมาก และแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ คุณตาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี มองโลกได้อย่างเข้าใจ และไม่ยึดติดกับสิ่งที่เป็นอยู่เป็นบุคคลที่น่ายกย่องมากคนหนึ่ง ทั้งเรื่องหน้าที่การงานและผลงานที่คุณตาได้ทำมา แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือ ความคิดของคุณตาที่คิดได้อย่างลึกซึ้งและน่ายกย่อง คุณตามีหัวใจของความเป็น “ครู” ที่แท้จริงและคุณตาเป็นผู้ป่วยที่ดิฉันมีโอกาสดูแลที่จะอยู่ในความทรงจำของดิฉันและเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตให้แก่ดิฉันต่อไป....
บันทึกโดยนศภ......
Pharm Dปี 6
เป็นบันทึกที่ได้มองเห็นชีวิตที่มีค่าของคนๆ หนึ่ง...บันทึกที่ทำให้หันมามองตนเอง...ขอบคุณครับ
เป็นตัวอย่างที่ดี ทั้งการสอนนักศึกษาและการช่วยเหลือผู้ป่วยไปพร้อมๆกัน
คุณตาเพิ่งเสียชีวิต 11-08-57 เวลา 17.20 น. อย่างสงบ ไม่มีอาการทุรนทุราย