ดิฉันทำงานดูแลผู้ป่วยมะเร็งมาตั้งแต่ปี 2530 จนถึงปัจจุบัน
ผู้ป่วยมะเร็งที่มารักษาที่ หอผู้ป่วยเคมีบำบัด โรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีทั้งผู้ป่วยที่มารักษาต่อเนื่อง และเป็นผู้ป่วยใหม่ มีประมาณ 2,500 คนต่อปี พบว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่มารับยาเคมีบำบัด
ที่หอผู้ป่วยของเรามีพยาบาลทั้งหมด 16 คน เป็นพยาบาลที่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วย พยาบาลเชี่ยวชาญ คือ ดิฉันเอง และพยาบาลชำนาญการ 5 คน นอกนั้นยังมีประสบการณ์ในการทำงานยังไม่มาก
ดิฉันในฐานะพี่ใหญ่ จะต้องคอยดูแลที่มีปัญหาซับซ้อน ทั้งกลุ่มที่มีปัญหาด้านจิตใจ เช่น มีความวิตกกังวล นอนไม่หลับ กลัวโรคจะเป็นกลับซ้ำ กลัวการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดไม่หาย กลัวตาย มีปัญหาครอบครัว เศรษฐกิจ ปัญหาภาพลักษณ์ ปัญหาเพศสัมพันธ์ มีภาวะซึมเศร้า ผู้ป่วยที่คิดอยากฆ่าตัวตาย เป็นต้น
สำหรับกลุ่มที่เข้าสู่ระยะสุดท้ายที่แพทย์ได้คุยกับผู้ป่วยและญาติแล้วว่า โรคไม่ตอบสนองต่อยาเคมีบำบัด จะให้การรักษาเพื่อประคับประคอง เราต้องเข้าไปดูแลให้ผู้ป่วยเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ดูแลให้ได้รับความสุขสบาย ไม่มีความทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด ต้องเหมั่นข้าไปดูแลทุกวัน และเตรียมความพร้อมทางด้านจิตวิญญาณ
ซึ่งจะขอสรุปจากประสบการณ์ของตัวเองและจากการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับพยาบาลที่มีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ได้ดังนี้
จากการจัดกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขอนำมีคำกล่าวของผู้ให้ข้อมูลมาเป็นตัวอย่างบางส่วน
“การประเมินภาวะจิตวิญญาณจะจู่โจมไม่ได้ แต่ก็มีเทคนิควิธีที่เข้าถึงผู้ป่วยระยะสุดท้ายอย่างเร็ว คือ การทักทาย สัมผัส มองตา จับมือ จับเท้า รวมทั้งนวดเบาๆอย่างอ่อนโยนในตำแหน่งที่ผู้ป่วยรู้สึกไม่สุขสบาย และนำญาติมาร่วมดูแลด้วยเสมอ”
“การใช้เครื่องมือในการประเมิน เพื่อหาความต้องการด้านจิตวิญญาณก่อน เปรียบเสมือน“เกาให้ถูกที่”เพื่อช่วย“ปลดล๊อก”สิ่งค้างคาใจ เพื่อตอบสนองและช่วยเหลือผู้ป่วยและครอบครัวได้ตรงความต้องการ”
ประสบการณ์ในการประเมินผู้ป่วย ผู้ป่วยเล่าว่า...............
“เวลาปวด รู้สึกทุกข์ทรมานเหมือนกำลังจะตายจิตวิญญาณจะออกจากร่าง ทำให้รู้ตัวว่าจะอยู่อีกไม่นาน รู้เองว่าวาระสุดท้ายกำลังจะมาถึง ไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าเรากำลังจะไป ตอนนี้ไม่กลัวตาย แต่อยากเห็นหน้าลูกอายุ 11 เดือนที่อยู่กับป้า และอยากเห็นหน้าแม่ อยากขอโทษแม่ที่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดู"
“การตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ทรมาน คิดว่าการตายจากโลกนี้ไปดีที่สุดแล้ว ไม่มีความทุกข์ ไม่ทรมานด้วย สิ่งที่พยาบาลทำให้ได้ คือ การดูแลเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมานให้บรรเทาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”
“ ถ้าลุงมีอาการแย่ลง ไม่ต้องทำอะไร ขอให้ส่งลุงให้ถึงบ้านก็พอ”
“การสะเดาะเคราะห์ ต่ออายุ และพิธีทางไสยศาสตร์ทำมาหมดแล้ว ยกเว้นการขอขมา เพราะพิธีขอขมาจะทำตอนที่คิดว่าจะต้องจากไปจริงๆ”
บทเรียนรู้ที่สำคัญ
แก้ว บันทึก
9 สิงหาคม 2557 เวลา 21.17น
เป็นงานที่น่าชื่นชมนะครับพี่แก้ว เกือบจะ 30 ปี....งานที่เหมือนมัจจุราชจะพรากชีวิต...แต่เราจะทำอย่างไงให้ผู้ป่วยและญาติปราศความกลัว และเดินทางไปอย่างสงบ อ่านบันทึกนี้แล้ว ช่วยได้เยอะ เพราะทุกคนต้องมี หรือต้องมีประสบการณ์นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ
ทิมดาบคะ
การดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่มายาเคมีบำบัด ส่วนใหญ่แล้วเราก็เห็นความสำเร็จจากการได้ดูแลผู้ป่วยได้ถึงร้อยละ 70 บางคนมารับยาเคมีบำบัดหลายปี จนมีความผูกพันกับพยาบาล ได้ยาครบแล้ว มาตรวจที่ OPD แล้วยังมาเยียมเยือนเราด้วย ทำให้เรายิ้มได้
เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ผู้ป่วยมีความสุข สงบ ยอมรับวาระสุดท้ายที่กำลังจะมาถึง นั่นเป้าหมายสำคัญในการดูแลผู้ป่วยของเราค่ะ
เป็นบันทึกที่สรุปรวบยอดเรื่องนี้ได้อย่างดีเลยครับพี่แก้ว ต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ตรง อยู่หน้างานเท่านั้น ถึงจะกลั่นออกมาระดับนี้ได้ เป็นบันทึกที่มีคุณค่ามากครับ ขออนุญาตนำไปเผยแพร่ครับ
ขอบคุณค่ะ อาจารย์เต็มศักดิ์ที่ให้โอกาสทบทวนงานที่ทำมาหลายปี
เราเตรียมผู้ป่วยอย่างธรรมชาติ จนผู้ป่วย..พร้อมที่พูดถึงเรื่องความตายได้อย่างไม่มีความกลัว
และทกคนพร้อมที่กลับไปที่บ้าน เมื่อหมอพร้อมจะบอกว่า โรคเขารักษาไม่ได้แล้ว
ขออย่างเดียวไม่ต้องการทุกข์ทรมานเท่านั้นค่ะ
พี่แก้ว