ลุงเหมย
ข้าราชการครูบำนาญ นายชุมพล บุญเหมย

พ่อแม่สมบูรณ์แบบและบุตรที่ประเสริฐที่สุด ตอนที่ ๖


  
                               ขอน้อมกราบบุญบารมีของท่านกัลยาณมิตรและท่านรัตนชนที่ลุงเหย เคารพทุกท่าน ตอน นีก็จะเป็นบทคัดคำบรรยายของพระคุณเจ้าท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกขพลาราม ซึ่งพระคุณเจ้าท่านได้เทศโปรดสาธุชนทั้งหลาย อีตาลุงเห็นว่ามีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของพวกเรามาก เพราะถ้อยคำรจนาธรรมของท่านฟังง่ายเข้าใจได้ดีแจ่มแจ้ง สามารถนำไปปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันได้....ตอนนี้ก็จะเป็นตอนที่ ๖ ของเรื่อง พ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ และ บุตรที่ประเสริฐที่สุด เชิญครับ...

..... เมื่อมีอะไรมายั่วให้ทำผิด เราก็ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้าที่ห้ามไม่ให้ทำอย่างนั้น ไม่เชื่อฟังบิดามารดาครูบาอาจารย์ ที่เคยห้ามไว้ ว่าอย่าทำอย่างนั้น เราก็ไม่เชื่อฟัง หรือความรู้สึกที่เรามีอยู่เอง กลัวบาป กลัวกรรม มันมากระซิบที่หูว่า นี้บาป ๆ เราก็ไม่เชื่อฟัง ความไม่เชื่อฟังมันอยู่ที่นี่ ..... ถ้าเชื่อฟัง มันก็ตรงกันข้าม ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเกิดขึ้นมาเตือนเรา เราก็เชื่อฟัง เราก็หยุด ไม่ทำชั่ว ก็เป็นอันว่าตรงหมดตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอน บิดามารดาครูบาอาจารย์สอน พระเจ้าพระสงฆ์สอน ขนบธรรมเนียมประเพณีมีไว้........

         ทีนี้ คนไม่เชื่อฟัง มันไม่เชื่อฟังไปเสียทั้งหมด มันไม่เชื่อฟังขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม แล้วแถมแลบลิ้นหลอกขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีของปู่ย่าตายาย เพราะว่ากิเลสมันมากไปเสียแล้ว หรือผีมันสิงมากไปเสียแล้ว มันไม่ยอมเชื่อฟังอะไร ไม่เชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ พระเจ้าพระสงฆ์ คนเฒ่าคนแก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันไม่เชื่อทั้งนั้น               .... แล้วที่มันร้ายกาจกว่านั้น เลวทรามกว่านั้นก็คือมันไม่รู้จักเข็ดหลาบ ความชั่วที่เคยทำลงไปแล้วครั้งแรก มันก็ให้โทษ เป็นความทุกข์เจียนตาย เสียใจนั่งร้องไห้อยู่ แต่ไม่เข็ดหลาบ คือว่าพอความชั่วอย่างเดียวมันมายั่วให้ทำอีกมันก็ไม่เชื่อฟังความผิดพลาดที่เคยผิดพลาดมาแล้ว ไม่รู้จักเข็ดหลาบ ..... ความไม่รู้จักเข็ดหลาบ นี่ก็คือความไม่เชื่อฟัง ฉะนั้นจึงถูกลงโทษ ถูกเฆี่ยนตีทางเนื้อหนัง หรือถูกลงโทษทางจิตใจ ให้เป็นทุกข์เป็นร้อน ให้นอนไม่หลับ และที่ถูกลงโทษอย่างร้ายแรงที่สุด ก็คือทำให้สูญเสียระบบความรู้สึกนึกคิด อย่างน้อยก็เป็นโรคประสาทไป ..... ลองคิดดูเถิดว่า เป็นโรคประสาทแล้วจะทำอะไรได้ เป็นเด็กนักเรียนเป็นนักศึกษานี้เป็นโรคประสาทแล้วจะทำอะไรได้ เคยมาหาที่นี่ เป็นโรคประสาทงอมแงม จะให้ช่วยที จะเอาธรรมะข้อไหนช่วยที เราบอกเขาว่า ธรรมะไม่มีสำหรับคนเป็นโรคประสาท เมื่อเป็นโรคประสาทแล้ว จะศึกษาธรรมะไม่ได้ ถ้าเป็นโรคประสาทเสียแล้ว ศึกษาธรรมะไม่ได้ ธรรมะที่คนเป็นโรคประสาทจะศึกษานั้นไม่มี ฉะนั้นไปรักษาโรคประสาทให้หายเป็นปกติเสียก่อน แล้วจึงมาศึกษาธรรมะ มาทีธรรมะกัน ..... นี่ขอให้เข้าใจคำที่ว่า เชื่อฟังกับไม่เชื่อฟัง นี่มันเป็นอย่างไร ? มันไม่เชื่อฟังไปตั้งแต่ระดับต่ำ ระดับต้น แรกจนถึงระดับสูงสุด เราได้เรียนมาตั้งแต่เล็ก ๆ จนบัดนี้ อายุเท่านี้ โตเท่านี้ มันก็เรียนมามากโขอยู่ นั่นแหละ เรียนไว้ รวบรวมไว้สำหรับจะตักเตือนตน ให้รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ แล้วก็เรียนไว้มาก พอถึงคราวที่กระทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ความรู้เหล่านี้มันตักเตือน ว่าไม่ควรทำ มันบอกว่า นี้ล้วนแต่เป็นข้อห้าม แต่แล้วมันก็ไม่เชื่อฟัง คือ ไม่เชื่อฟังความรู้ที่ตนได้เล่าเรียน ได้ศึกษา ได้รวบรวมไว้สำหรับตนเอง ..... ขออย่าให้นักเรียนคนใดมีลักษณะอาการอย่างที่ว่ามานี้ คือขออย่าให้วิชาความรู้ที่เราอุตส่าห์เล่าเรียนมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้นั้น กลายเป็นสิ่งที่ห้ามกันเราไม่ได้ ตักเตือนเราไม่ได้ เราสมัครทำความผิด ความชั่ว ทั้งที่รู้สึกว่า นี้มันเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ ไม่ควรทำ เป็นความผิดความชั่ว นี้ทำให้บิดามารดาร้อนใจ รู้ความประสงค์ความต้องการของบิดามารดาแล้ว ทำทุกอย่างให้เป็นที่พอใจแล้วก็ไม่ทำอะไรให้เป็นที่เสียหาย จนบิดามารดาต้องร้อนใจ ก็เลยได้รับประโยชน์ ถ้าเป็นบุตรที่ไม่เชื่อฟังก็ไม่สนใจที่จะยกบิดามารดาให้พ้นจากนรก คือความร้อนใจ ฉะนั้นบุตรที่ไม่เชื่อฟังก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่บิดามารดา แม้ว่าจะเป็นบุตรที่ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติ เกียรติยศชื่อเสียง ฐานะดีเด่นในสังคม แต่ถ้าเขาไม่เชื่อฟังขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่เชื่อฟังความประสงค์ของบิดามารดา เขาก็ไม่เลี้ยงบิดามารดาเมื่อแก่เมื่อเฒ่า นี่ก็เลยไม่มีประโยชน์อะไรแก่บิดามารดา ..... ฉะนั้น บุตรทีเชื่อฟังเท่านั้สนแหละที่จะเป็นที่พึ่งแก่บิดามารดาได้ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า บุตรที่เชื่อฟังบิดามารดา เป็นบุตรที่ประเสริฐที่สุด อย่าเอาอาการอื่นมาวัด เช่นว่า เดี๋ยวนี้รวยกว่าบิดามารดา ฐานะสูงกว่าบิดามารดา หรือเสมอกัน หรือเลวกว่า นั้นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก แต่ถ้าเป็นบุตรที่ดีแล้ว เขาจะเชื่อฟังขนบธรรมเนียมประพณีที่ดี ที่บุตรจะพึงมี แล้วก็ยกบิดามารดาขึ้นมาจากความร้อนใจ อะไรเป็นความประสงค์ของบิดามารดา ก็สนองความประสงค์อันนั้น บิดามารดาก็ชื่นอกชื่นใจ ก็เลยเรียกว่า บุตรที่เชื่อฟังเป็นบุตรที่ประเสริฐที่สุด ..... ขอให้ทราบถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้สอนไว้เกี่ยวกับเรื่องบุตรอย่างนี้ว่า บุตรมี ๓ พวก ; แต่พวกที่ประเสริฐที่สุดนั้น เป็นพวกที่เชื่อฟังบิดามารดา ; ฉะนั้นขอให้ทุกคนได้เป็นบุตรที่ประเสริฐที่สุด ตามความหมายในทางพระพุทธศาสนา บิดามารดาก็กจะมีบุญในการที่ได้มีบุตรย่างนี้ นี้เป็นเรื่องที่พูดไปตรง ๆ ตามข้อความที่กล่าวไว้ในพระบาลี ใครชอบหรือไม่ชอบก็สุดแท้ แจ่หลักเกณฑ์ในพระพุทธศาสนามีอยู่อย่างนี้ จึงเอามาพูดให้ฟัง

.......... ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงเรื่องธรรมะสำหรับประพฤติ ปฏิบัติที่จะทำให้เกิดการเชื่อฟัง เราจะต้องมีความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้องจนรู้จักว่า มนุษย์นี้เกิดมาทำไม ? สรุปอย่างใจความอย่างกว้าง ๆ ก็ว่า เกิดมาเพื่อได้รับสิ่งที่ดีสุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ คงจะมีคนถามว่า อะไร , อะไรดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้รับ ? หมายความว่าสภาพที่จิตใจที่สูงขึ้น ๆ จนถึงกับมีการบรรลุมรรค ผล นิพพาน ตามหลักของพระพุทธศาสนา มีความรู้สว่างไสว จนถึงกับครอบงำกิเลสได้ ไม่มีกิเลสเลย นี้ก็เรียกว่าเป็นการบรรลุพระนิพพาน ไม่มีมีกิเลสแล้วก็มีพระนิพพาน กิเลสเป็นของร้อน พระนิพพานเป็นของเย็น เอากิเลสออกไปให้หมด ก็มีความเย็น เรารู้สึกได้เองเมื่อเราไม่มีกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง อยู่ในใจ เมื่อนั้นใจมันเย็น พอกิเลส ความโกรธ เป็นต้น เกิดขึ้นในใจ เราก็ร้อน : ร้อนเพราะความโลภบ้าง ร้อนเพราะความโกรธบ้าง ร้อนเพราะความโง่บ้าง มันร้อน ; ถ้ากิเลสไม่มีโดยประการทั้งปวงแล้ว มันก็เย็น ทีนี้มนุษย์มีสิ่งที่ดีที่สุด ตรงที่เย็น ไม่มีความทุกข์เลย ; จะต้องช่วยกันก้าวหน้าไปในทางของความเย็นหรือของพระนิพพาน เราประพฤติปฏิบัติตนให้เย็น อย่าให้ร้อน ประพฤติผิดประพฤติชั่ว ประพฤติไปตามอำนาจของกิเลสนั้นมันร้อน แล้วมันก็เสียหายหมด การศึกษาเล่าเรียน หน้าที่การงาน การปฏิบัติต่อบิดามารดา เป็นต้น มันก็เสียหมด .......

รู้จักควบคุมความรู้สึกไม่ให้ปรุงกิเลส ..... ฉะนั้น จงรู้จักควบคุมความรู้สึก ไม่ให้บันดาลกิเลส ไม่ปรุงกิเลสขึ้นมา มันก็จะได้เย็น เมื่อกิเลสไม่มีโอกาสเกิดเลย มันก็หมดได้ คือ เชื้อสำหรับกิเลสมันหมดได้ ถ้าเราไม่ให้มันมีโอกาสเกิดขึ้นมา ..... เหมือนกับว่า เมล็ดพืชที่เราฝังลึกลงไปในดินเกินไปมันงอกไม่ได้ ; ไม่เท่าไรมันก็เน่าหมด ตายหมด หรือว่าจะเอาไฟเผา เอาน้ำร้อนราด อะไรนี้มันก็เน่หมดตายหมด มันงอกไม่ได้ มันไม่มีโอกาสที่จะงอก ..... เราประพฤติธรรมะอย่างเดียวกัน ไม่ให้มีกิเลสเกิดขึ้นมาได้ ไม่เท่าไรเชื่อของกิเลสมันก็เน่าไปหมด ไม่มีกิเลสเกิด นี้เขาเรียกว่าบรรลุมรรคผล เราแม้จะยังทำไม่ได้ ถึงอย่างนั้น ก็ยังปรารถนากันทำไม ? จะมาสวนโมกข์ให้เสียสตางค์ค่ารถกันทำไม มันป่วยการ เพราะ ที่นี่เป็นที่จะศึกษา ชี้แจง ทำความเข้าใจกันเกี่ยวกับเรื่องทำกิเลสให้สูญสิ้นไป.......ท่านกัลยาณธรรมและรัตนมิตรที่อีตาลุงเคารพทุกท่าน ก็มาถึงตนนี้ที่จะต้องขอยุติก่อน เอาไว้เจอกันในตอนที่ ๗ อีกนะครับ อ่านแล้วพิจารณาตามไปว่าว่าพระคุณเจ้าหลวงปู่พุทธทาสภิกขุท่านได้ให้ข้อคิดพิจารณาสมองของท่านอย่างไร แล้วตรึกตรองว่าจะนำไปใช้ปฏิบัติเพื่อชีวิตที่เป็นสุขอย่างไร.....ขอกราบในน้ำใจพระคุณท่านที่เคารพของอีตาลุงเหมยทุกท่าน ขอให้เกิดดวงตาเห็นธรรม เกิดสัจธรรมตั้งมั่นในดวงจิตของทุกท่านทุกคน...เทอญ...กราบสาธุครับ


หมายเลขบันทึก: 573534เขียนเมื่อ 30 กรกฎาคม 2014 10:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 กรกฎาคม 2014 11:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท