ฉันได้รับโทรศัพท์จากน้องพยาบาลกัลยา (นามสมมติ) ด้วยเสียงสั่นเครือ “พี่ฟ่งแม่ยาหกล้มไม่รู้สึกตัว ใส่ท่อช่วยหายใจส่งตัวมาจากโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่ง”
“ตอนนี้คุณแม่อยู่ที่ไหนค่ะ” ฉันถาม
“อยู่ ER กำลังจะรับเข้าหอผู้ป่วยศัลยกรรมประสาท” น้องยาพูดไปร้องไห้ไป
“เดี๋ยวพี่จะขึ้นไปเยี่ยมนะ” ฉันตอบ
ฉันมีสัมพันธภาพที่ดีกับครอบครัวน้องยา เนื่องจากก่อนหน้านี้ฉันได้ไปดูแลพ่อน้องยาที่ป่วยเป็นมะเร็งผิวหนังและเพิ่งเสียชีวิตไป 97 วัน ฉะนั้นนิสัยใจคอของคนในครอบครัวรวมถึงผู้ป่วย ฉันจึงรู้จักดี น้องยาเป็นคนเข้มแข็งไม่เคยเสียสูญจนควบคุมตัวเองไม่อยู่
สภาพผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว ใส่ท่อช่วยหายใจต่อกับเครื่องช่วยหายใจ มีสายต่างๆ เช่น สายน้ำเกลือ สายปัสสาวะ เป็นต้น แพทย์ได้คุยกับลูกๆผู้ป่วยว่า เส้นเลือดที่สมองแตกมีก้อนเลือดขนาด 8 cm. ถ้าผ่าตัดก็มีโอกาสนอนเป็นผักแต่ถ้าไม่ผ่าก็คงอยู่ได้ไม่นาน ในที่สุดลูกๆผู้ป่วยตกลงไม่ผ่าเพราะแม่เคยสั่งไว้ตอนที่มาดูแลพ่อ แต่สภาพของลูกๆในขณะนั้นตั้งสติไม่ได้ คือ บางคนร้องไห้ตลอดเวลา บางคนเงียบซึมเศร้าไม่พูดไม่จา บางคนเดินไปมากระสับกระส่าย บางคนโทษตัวเองว่าไม่ได้ดูแลแม่ ผิดสัญญากับแม่ว่าจะมาอยู่ดูแลแม่และจัดการมรดกให้หลังพ่อตาย
ฉันจึงต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลางเตือนสติให้ทุกคนทำสิ่งดีๆกับคุณแม่ “อย่าคิดว่าคนที่เขาไม่รู้สึกตัวจะไม่ได้ยินนะ ฉันเองเคยโคม่าไม่รู้สึกตัวฉันได้ยินหมดทุกอย่าง เวลาของคุณแม่คงมีไม่มาก ต้องการให้ทุกๆคนมาทำสิ่งดีๆ เช่น การกอดสัมผัส การได้กล่าวอโหสิกรรมขอขมา การพูดถึงสิ่งที่แม่นับถือและศรัทธาเพื่อน้อมใจให้แม่เป็นกุศล เช่น แม่ตักบาตร สวดมนต์ทุกวัน ไปทำบุญทอดกฐิน ทอดผ้าป่า สร้างพระ เป็นต้น” ในที่สุดลูกๆทุกคนปฏิบัติตามคำแนะนำ และสวดมนต์ให้แม่ฟัง สิ่งคาดไมถึงได้เกิดขึ้นคือพลังเฮือกสุดท้ายก่อนจากไป
น้องยาเธอเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า
“ประมาณ 11 โมงเช้าความดันโลหิตต่ำเป็นช่วงๆ ดิฉันเฝ้าแม่อยู่คนเดียวในขณะนั้นเริ่มสังหรณ์ใจว่าวันนี้ท่านจะอยู่กับเราอีกหรือเปล่าหรือท่านจะจากเราไป จึงรีบโทรศัพท์ตามญาติให้กลับมาเร็วๆกลัวว่าพี่ๆจะมาดูใจไม่ทันจึงได้พูดกับคุณแม่ว่าอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปตอนนี้นะ พี่ๆหลานๆไปทำบุญไปทำบุญ 100 วัน ให้คุณพ่ออยู่เดี๋ยวจะรีบกลับมา
คุณแม่ไม่ต้องห่วงอะไรลูกๆได้ทำหน้าที่แทนคุณแม่แล้วในการทำบุญ 100 วัน อุทิศส่วนกุศลไปให้คุณพ่อ ราบรื่นเรียบร้อยดี....”
ได้ยินเสียงพี่ๆหลานๆ ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
“คุณแม่ตื่นแล้วคุณแม่ลืมตาแล้วคุณยายตื่นแล้ว”
ดิฉันเงยหน้าขึ้นมาปรากฏว่าคุณแม่ได้หลับตาลงแล้วแต่เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของท่านและยังเห็นมือของท่านพนมอยู่ความรู้สึกตอนนั้นรู้สึกดีใจมากจึงได้จับมือท่านแล้วพูดว่า
“แม่ช่วยกำมือให้ดูหน่อยแม่ก็สามารถกำมือเข้ามาหลวมๆได้ดิฉันจึงพูดกับท่านว่าช่วยคลายมือออกหน่อยแม่ก็คลายมือออกได้ดิฉันบอกให้ท่านทำสลับกันปราณ 3-4 ครั้ง ท่านก็สามารถทำได้หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที แขนของท่านทั้ง 2 ข้างก็วางอยู่ข้างตัวนิ่งๆ”
“เป็นภาพที่จบลงอย่างสวยงาม คุณแม่จากไปอย่างสงบและสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์”
สุดท้ายนี้น้องยาฝากข้อคิด
“อยากให้ทุกคนที่ยังมีคุณพ่อและคุณแม่อยู่กับท่านในขณะนี้จงรักและดูแลคุณพ่อคุณแม่ให้มากที่สุด เมื่อใดก็ตามที่ท่านได้สูญเสียคุณพ่อ คุณแม่ไป ท่านจะเข้าใจลึกซึ้งถึงความสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักที่สุดในชีวิต”
ไม่มีความเห็น