ไม่ยุบ สมศ.


ไม่ยุบ สมศ.

เพื่อฟังความเห็นที่แตกต่างจาก บันทึกนี้ ผมขอนำบทความของ ศ. ดร. อุทุมพร จามรมาน ที่ เสนอไม่ให้ยุบ สมศ. มาเผยแพร่ความเห็นที่แตกต่าง ดังต่อไปนี้

ศาสตราจารย์ ดร. อุทุมพร จามรมาน

โต้กรณี

“ยุบสมศ.”

ศาสตราจารย์ ดร.อุทุมพร จามรมาน มีความเห็นกรณี ผศ.นพ. เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เสนอผลการประชุม 7 ประเด็น และหนึ่งในนั้น คือ พิจารณาปรับปรุงหรือยกเลิกสมศ. เนื่องจากเป็นการเพิ่มภาระและเป็นอุปสรรคในการจัดการศึกษา ในฐานะนักการศึกษา และอดีตผู้บริหารองค์การมหาชนเห็นว่า

1. การบริหารงานขององค์กรทุกประเภทต้องได้รับการตรวจสอบการใช้เงินและคุณภาพของผลงาน โดยองค์กรภายนอกที่เป็นอิสระ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของผู้บริหารและเจ้าหน้าที่

ในกรณีมหาวิทยาลัยของรัฐจะต้องถูกตรวจสอบโดยหน่วยงานภายนอก เช่น สตง. หรือองค์กรอื่นซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสมศ. ก็ได้ ว่ามหาวิทยาลัยของรัฐหรือในกำกับรัฐ ใช้เงินภาษีประชาชนอย่างคุ้มค่าหรือไม่ และผลผลิตได้คุณภาพตามมาตรฐานสากลหรือไม่

ดังนั้น มหาวิทยาลัยของรัฐที่ใช้เงินภาษีของประชาชน ต้องให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชน เกี่ยวกับคุณภาพผลงานของตนเพื่อผู้ปกครอง นักเรียน และประชาชนจะได้ทราบและตัดสินใจเกี่ยวกับหน่วยงานนั้น ๆ ว่าควรจะคงอยู่หรือถูกยุบ

ในกรณีของมหาวิทยาลัยเอกชน เจ้าของมหาวิทยาลัยทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินอยู่แล้ว แต่ก็ต้องมีหน่วยงานภายนอกที่มาตรวจสอบคุณภาพเพื่อผู้ปกครอง และนักเรียนจะได้ตัดสินใจว่า จะให้บุตรหลานของตนมาศึกษาหรือไม่

การยุบสมศ. อาจทำได้ตามที่อธิการบดีมศว. ต้องการ แต่ต้องมีการตรวจสอบโดยหน่วยงานภายนอก มาทำหน้าที่แทน ในที่นี้ เสนอให้ใช้ผล World Ranking เป็นตัวชี้คุณภาพว่า มศว. อยู่ลำดับที่เท่าไรของโลก ! (ซึ่งไม่เคยติด แม้กระทั่ง 100 ลำดับแรก) และต้องขอให้อธิการบดีมาชี้แจงว่า ผลการบริหารงานของตนมีคุณภาพอะไร มากน้อยเพียงไร

2. การประเมินภายนอกของสมศ. เป็นการเพิ่มภาระนั้น แท้ที่จริงการประกันคุณภาพ (Quality Assurance) เป็นการทำงานตามปกติที่ใช้ระบบฐานข้อมูลเป็นกลไกขับเคลื่อน ในกรณีที่มหาวิทยาลัยคิดว่าเป็นภาระ เพราะมหาวิทยาลัยมิได้ใช้ระบบฐานข้อมูลในการบริหารจัดการ รวมทั้งใช้ในการตัดสินใจ ดังนั้น เมื่อสมศ. ส่งคณะผู้ประเมินเข้าประเมินคุณภาพของผลงานตามพันธกิจของมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่สายสนับสนุนที่เกี่ยวข้องจึงต้องไปขอผลงานจากผู้บริหาร อาจารย์ และบุคลากร เพื่อนำมาสร้างหลักฐานให้คณะผู้ประเมินของสมศ. ซึ่งสะท้อนว่า

(1) ผู้บริหารมหาวิทยาลัยมิได้เข้าใจว่าการประเมินคุณภาพของสมศ. ทุก 5 ปี เป็นการช่วยอธิการบดีและคณบดี ในการส่องกระจกดูตัวเอง และถ้าพบว่าจุดใดเป็นจุดอ่อน จะได้แก้ไขปรับปรุง จุดใดเป็นจุดแข็งจะได้เสริมให้แข็งขึ้นไปอีก

(2) เมื่ออธิการบดีและคณบดีไม่เข้าใจความสำคัญของผลประเมิน ก็สั่งการให้เจ้าหน้าที่สายสนับสนุนไปดำเนินการ ซึ่งเขาเหล่านี้มิใช่ผู้บริหาร จึงไม่เข้าใจวิธีทำประกันคุณภาพ

(3) เมื่อสมศ. ส่งคณะผู้ประเมินซึ่งก็คือ ผู้บริหาร และอาจารย์จากสถาบันอื่นมาประเมิน อธิการบดีและคณบดีก็กลัวจะได้คะแนนต่ำ ต่างพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ได้คะแนนสูง ทั้งที่มิใช่สภาพที่แท้จริงของตน

ดังนั้น การ “ยุบ สมศ.” จึงมิใช่คำตอบ หากแต่มหาวิทยาลัยควรประเมินตนเองตามสภาพจริงแล้วช่วยกันพัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อให้

(1) บัณฑิตที่จบไปมีคุณภาพ ทำงานได้เลยและเป็นคนดี

(2) อาจารย์ที่สอน มีทักษะทางครุศึกษา และมีผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารโลก หรือมีงานสร้างสรรค์ที่เผยแพร่ และผลงานเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาประเทศไทย

(3) เจ้าหน้าที่สายสนับสนุนได้รับการพัฒนาวิธีปฏิบัติงาน เพื่อช่วยให้อาจารย์ทำงานได้เต็มที่

(4) อธิการบดี และคณบดีมีการบริหารจัดการที่ใช้ฐานข้อมูลและหลักธรรมาภิบาล โปร่งใส ตรวจสอบได้ ตลอดจนใส่ใจในงานของตนตามที่เสนอตัวมาดำรงตำแหน่ง

ถ้าอธิการบดีและคณบดีเข้าใจเหตุผลว่า ทำไมต้องประกันคุณภาพผลผลิตของตน และปรับปรุงผลผลิตให้มีคุณภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ คุณภาพการอุดมศึกษาก็จะเทียบเท่า หรือสูงกว่าประเทศอื่นในโลก

แต่ถ้าไม่เข้าใจว่า ทำการประกันคุณภาพการศึกษาไปทำไม ก็น่าจะให้บุคคลอื่นมาบริหารงานแทน

ดังนั้น การยุบสมศ. จึงมิใช่คำตอบ แต่ถ้าเสนอให้ สมศ. ปรับปรุงวิธีทำงานให้ดีขึ้นน่าจะเป็นทางออกที่ดี หรือถ้าให้ยุบสมศ. ก็น่าจะใช้ World Ranking เป็นตัวประกันคุณภาพแทน ซึ่งจากการตรวจสอบลำดับของมหาวิทยาลัยไทย เทียบกับมหาวิทยาลัยในโลกพบว่า อยู่ในลำดับไม่สูง และไม่เคยสูง บางแห่งติดลำดับ 3,000 ของโลก แพ้มหาวิทยาลัยในประเทศด้อยพัฒนาบางประเทศเสียอีก

ดังนั้น จึงเสนอว่า ถ้าอธิการบดีและคณบดียอมรับความจริงเรื่องคุณภาพ แล้วหันมาช่วยกันพัฒนาคุณภาพผลผลิต 4 อย่าง ตามพันธกิจของมหาวิทยาลัยของตน ก็จะเป็นการปฏิรูปการศึกษาที่แท้จริง นั่นคือตัวเองประเมินตัวเองก่อน แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ใช้เกณฑ์ว่า ถ้ามหาวิทยาลัยใดไม่ติดลำดับ 500 ลำดับแรกของโลก ก็ยุบมหาวิทยาลัยนั้นเสีย

หมายเลขบันทึก: 572680เขียนเมื่อ 17 กรกฎาคม 2014 22:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 กรกฎาคม 2014 22:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะอาจารย์ ผู้ใหญ่มักคิดว่าธุระไม่ใช่จริงๆๆๆ สาบานได้เจอ เคยเจอมาเองแล้วค่ะ ควรจัดหนักที่คณะศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์นั่นแหละถูกต้องที่สุดค่ะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท