นับจากจบการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว
ช่วงนี้ พี่ภัครเริ่มสมัครงาน ครั้งแรก คือ
มาสอบเป็นอาจารย์ที่ ม. ที่แม่สังกัดอยู่
ลองดูว่าจะได้หรือไม่...พี่ภัครลองสอบดู
ซึ่งเปิดรับสาขาภาษาไทย และพี่ภัครก็มี
คุณสมบัติครบตามประกาศ ฯ...
ม. เปิดรับ ๓ ตำแหน่ง และ ๒ คณะ คือ ครุศาสตร์
ซึ่งสอบไปเมื่อวานนี้...
และวันนี้ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ข้อสอบระหว่าง ๒ คณะ พี่ภัครเปรียบเทียบกัน
ได้ผลว่า คณะครุศาสตร์ รับ หลักสูตรการสอนภาษาไทย
ซึ่งข้อสอบจะออกโดยสาขาของคณะครุศาสตร์
พี่ภัครบอกว่า...พอทำแล้วก็รู้ว่า นั่นคือ ครู ล้วน ๆ
แต่พี่ภัครเรียนทางด้านมนุษยศาสตร์มา จึงบอกว่า
ไม่ค่อยตรงกับความถนัดของพี่ภัครสักเท่าไรนัก
แต่วันนี้ พี่ภัครบอกว่า...แบบนี้สิตรงกับภัคร...
ถามและให้ตอบแบบวิเคราะห์ สังเคราะห์ บอกเหตุผล
แบบนี้ จึงใช่แนวของพี่ภัคร...พี่ภัครได้เรียนรู้เรื่อง
ความแตกต่างระหว่างคณะครุศาสตร์และคณะมนุษยศาสตร์
การสอบของพี่ภัครคราวนี้...แม่ในฐานะ ผอ.กองบริหารงานบุคคล
ขอสละสิทธิ์ในการเข้ากระบวนการในการเป็นกรรมการทั้งหมด...
เพราะถ้าพูดถึงจิตสำนึกของการเข้าเป็นคณะกรรมการ
ถ้ามีญาติหรือผู้ที่ใกล้ชิดตัวของฉัน ๆ ไม่ควรเข้าไปเป็น
คณะกรรมการร่วมด้วย เพื่อความถูกต้อง โปร่งใส
มอบให้ ผอ.สนอ. เป็นกรรมการแทนตัวของฉันเอง
ดูจะ OK. กว่า เพราะจะได้ไม่มีข้อติฉินนินทาตัวฉันเองได้
ถ้าได้ก็ได้เพราะกรรมการท่านอื่น ซึ่งไม่ใช่แม่...
ฉันปล่อยให้พี่ภัครเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกจาก
คณะกรรมการ ทั้งภาคข้อเขียนและสัมภาษณ์...
ดังนั้น วันนี้ในช่วงเย็น ๆ ฉันจึงชวนพี่ภัครไปหาซื้อ
เสื้อทำงาน เสื้อสูท เตรียมตัวไว้ เพราะช่วงนี้
ลูกของแม่ต้องเตรียมตัวได้แล้ว...ถ้าไม่ได้ที่ ม. นี้
ก็ไปสอบที่ ม.อื่น เป็นการเตรียมตัว เย็นนี้ (๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗)
ฉันจึงไปเดินหาซื้อเสื้อ และเสื้อสูทกันที่ Central
ได้มาหลายตัวทีเดียว...พี่ภัครชวนแก้ว (แฟนพี่ภัคร)
ไปร่วมแชร์ความคิดด้วย...ในความคิดของเด็ก
เด็กก็คือ เด็กในสายตาของฉัน...ลูกเลือกเสื้อผ้า
ไม่ค่อยเข้าตาของแม่เท่าไร ชอบเลือกออกแนววัยรุ่น
ฟิต ๆ ซึ่งแม่ไม่ค่อยปลื้มเท่าไร เลือกมาแม่ก็ Break
เพราะไม่ควรใส่ทำงาน ไม่ OK. ในสายตาของแม่
สุดท้ายได้สูทที่ใจเราสองแม่ลูกใจตรงกัน ๑ ชุด
ส่วนเสื้อ พี่ภัครต้องยอมตามแม่ เพราะแม่มีประสบการณ์
มากกว่า รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรกับการใส่ทำงาน
เรียกว่า แม่เบาตัวไปเลย...
ของใหม่ ไม่ว่าใคร ก็เห่อเป็นธรรมดา มาถึงบ้าน
พี่ภัครก็ลองใส่ให้แม่ดู...ความที่พี่ภัครผิวคล้ำ
ใส่สีอะไร สีผิวก็กลบหมด จนแม่แซว
พี่ภัครจะเหมือนย่ากับพ่อเรมากกว่า ไม่ว่าสีผิว
และใบหน้าจะคล้ายทางพ่อเร...
นี่เป็นการเตรียมตัวของพี่ภัครเพื่อผจญสู่โลกกว้าง
ที่ลูกจะต้องเรียนรู้กับมหาวิทยาลัยชีวิตอย่างแท้จริง
ด้วยตัวของลูกเองแล้ว...
เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีใครสอน ใครบอก ใครแก้ปัญหา
ในการทำงานได้ นอกจากตัวของลูกเอง...
แม่ก็ขอให้พี่ภัครโชคดี เหมือนความหมายของชื่อของลูก
ก็แล้วกันว่า "กำลังโชคดี" อยู่ตลอดเวลา
นายภัครพล แสงเงิน...
ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติเข้ามาอ่านบันทึกนี้ค่ะ
บุษยมาศ แสงเงิน
๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๗
พี่ภัครใส่สูทแล้วดูดีเชียว ขอให้โชคดีนะคะ