เลียบเลาะตู้หนังสือนายแผ่นดิน (11) : จุดเทียนทั้งปลายทั้งโคน


ระยะหลังๆ ไม่ค่อยได้อ่านหนังสืออย่างจริงจังนัก

จริงจังในที่นี้หมายถึงอ่านแบบไม่ต้องพะว้าพะวงว่าต้องวิ่งวุ่นทำอะไรๆ ปะปนผสมโรงไปพร้อมๆ กัน จนพลอยไม่มีสมาธิ

เสาร์ที่ผ่านมา (๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๗) ผมสะพายเป้คู่ชีวิตออกจากรังรวงของตนเอง
ไม่ได้ตระเตรียมอะไรไปเป็นพิเศษ ไม่มีชุดสำรองใดๆ ในเป้- ในเป้มีหนังสือเพียงไม่กี่เล่ม
นอกจากนั้นก็เป็นเอกสารแห่งการงานล้วนๆ


ครานี้, ผมไม่ได้ขับรถเอง หากแต่ตัดสินใจนั่งรถประจำทาง เพียงเพื่อต้องการใช้เวลากับเรื่องราวระหว่างทางให้มากกว่าที่ผ่านมา โดยไม่ต้องรีบเร่งและกักขังตัวเองไว้กับห้องหับในรถอันเป็นเสมือนหนึ่งโลกอีกใบที่มีพรมแดนระหว่างผมกับผู้คนนอกรถ

การเดินทางด้วยรถโดยสารประจำทาง ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตเดินทางช้าลง
ผมมีเวลาเฝ้ามองชีวิตของผู้คนรายรอบ “ท่ารถ”
ได้รับฟังเรื่องราวหลากเรื่องของผู้โดยสาร
ได้เห็นการเดินเท้าและการสัญจรหลากมิติของผู้คน หรือกระทั่งวิถีการกินอยู่ รีบเร่งและรอคอยของผู้คนที่เป็นเพื่อนร่วมโลก –


ครับ, การเดินทางในแต่ละครั้ง หากต้องถูกใครรื้อค้นกระเป๋า หรือเป้ชีวิตของผม ก็ขอบอกตรงนี้เลยว่าในนั้นไม่มีอะไรมากมายพอให้รื้อค้น หรือหยิบจับไปสร้างมูลค่าใดได้เลย เพราะในกระเป๋าเป้ที่ว่ามีก็แต่ “หนังสือ” และ “หนังสือ” เท่านั้น

แปลกแต่ก็จริง ถึงแม้จะเตรียมหนังสือไปด้วย แต่ผมก็มิวายแวะซื้อหนังสือใหม่บรรจุใส่เป้ชีวิตด้วยเสมอ
มันเหมือนไปที่ใดก็ซื้อหนังสือจากร้านหนังสือในเมืองๆ นั้นเป็นของที่ระลึกให้กับตัวเอง

ครานี้ก็เช่นกัน ผมพาตัวเองหลบแดดร้อนเข้าร้านหนังสือและตัดสินใจซื้อหนังสือ “จุดเทียนทั้งปลายทั้งโคน” ของวรพจน์ พันธุ์พงศ์ ...

อันที่จริงผมหยิบจับหนังสือเล่มนี้มาร่วมเดือนแล้ว แต่ยังไม่ปลงใจซื้อ
ไม่ใช่กระเป๋าแห้งฉีกขาดหรอกนะครับ หากแต่ระยะหลังกำลังฝึกนิสัยตัวเองว่าหากต้องซื้อหนังสือสักเล่ม ก็ต้องอ่าน ไม่ใช่ซื้อมาสะสมเก็บกองไว้จนแทบจะพังทับหัวกะบาลตัวเอง
เพราะตอนนี้- บ้านทั้งหลังได้เต็มไปด้วยหนังสืออย่างมากมายก่ายกอง จนแทบไม่มีทางเดินแล้วก็ว่าได้

โดยส่วนตัวผมชอบ “ความเรียง” ของวรพจน์ พันธุ์พงศ์มากเป็นพิเศษ (ขอย้ำว่ามากเป็นพิเศษ) ชอบมุมคิดของการมองโลกและชีวิตที่แหลมคม หนักแน่น ดิบ ตรง กระชับ-
ในเรื่องๆ หนึ่งมักมีสองมุมคิดให้ชวนคิดตามเสมอ และที่สำคัญคือ มีกลิ่นอายของความโรแมนติกอยู่อย่างน่ารักน่าชัง

ซึ่งปัจจุบัน ผมมีหนังสือของวรพจน์ พันธุ์พงศ์ ประดับไว้ในตู้จำนวนหลายเล่ม หรือเกือบครบทุกเล่มก็ว่าได้




ถึงตอนนี้ผมจะยังอ่านหนังสือเล่มนี้ยังไม่จบ แต่ก็บอกได้เลยว่ามีความสุขกับการได้อ่าน “จุดเทียนทั้งปลายทั้งโคน” เป็นพิเศษ
เป็นความสุขที่ไม่อึดอัดเหมือนเล่มก่อนๆ ที่ดูจะข้นเข้มไปทางสังคมการเมือง ซึ่งเป็นกระจกเงาอีกบานหนึ่งที่ผู้เขียนได้ร่วมจารึกเหตุบ้านการเมืองไว้ให้เราได้รับรู้ ใคร่ครวญ หรือสืบค้นทั้งวันนี้และวันหน้า


และนี่คือส่วนหนึ่งที่ผมอ่านแล้วประทับใจ.. (อ่านยังไม่จบเล่ม แต่ก็ประทับใจ)


... เรารู้ว่าไม่มีเรื่องใดหรือบุคคลใดทำให้เราอ่อนแอได้เท่ากับผู้หญิง
และเราก็รู้ดีอีกเช่นกันว่าในยามอ่อนแอนั้น ไม่มีสิ่งใด หรือบุคคลใดจะช่วยเราได้ดีเท่ากับผู้หญิง
ผู้หญิงคือสาเหตุของความหดหู่ และก็เป็นผู้หญิงอีกนั่นแหละที่เป็นต้นธารแห่งการสร้างสรรค์ทั้งปวง

(มิตซูโอะ,คุณด้วยหรือ)


... ไม่ว่ารักนั้นจะนำไปสู่สิ่งใด สมหวัง ผิดหวัง
ต่อชีวิตต้องพังทลาย ผมยังมองความรักเป็นเส้นทางของการเติบโต เป็นวิถีร่วมที่บ่มเพาะให้เรารู้จักคนอื่น แคร์คนอื่น ทำเพื่อคนอื่น
ไม่มีบทเรียนใดในโลกที่จะสอนคนเราให้เข้าใจชีวิตได้ลึกซึ้งเท่าความรัก ความรักเท่านั้นที่เปิดดวงตามนุษย์ให้มองเห็นความละเอียดอ่อน

(ฮอร์โมน)


... เวลาและแดดฝนทำให้ไม้เล็กทุกต้นกลายเป็นไม้ใหญ่ได้
ถ้าไม่มัวดราม่า ฟูมฟายและใช้เวลาอยู่กบการล้มเหลวนานเกินไป

(ไม้ใหญ่กับสายน้ำเชี่ยว)


... การงานยุ่งๆ นี่ว่าไปมันก็มีข้อดี อย่างน้อยก็ทำให้คนเราลืมเรื่องงี่เง่าของตัวเอง
และขึ้นชื่อว่างาน ทุ่มเทลงแรงไปเท่าไรก็มั่นใจได้ว่าผลลัพธ์ย่อมตอบกลับตามเหตุตามผล ใช่-งานไม่เคยทรยศมนุษย์

(ผู้หญิง)


... คนพูดร้ายๆ อาจไม่ได้แปลว่าความหมายไม่ดี หรือมีจิตใจกดขี่เป็นยักษ์เป็นมาร
"ลิ้น" ที่เสกสร้างถ้อยคำไพเราะอ่อนหวานร่ารับฟังเสมอ แต่ลิ้นก็คือลิ้น ประเด็นมันอยู่ที่ “เรื่อง” หรือเนื้อหา
เวลาฟังคำวิจารณ์ต้องดูที่ความ ไม่ใช่คำ
ยิ่งกับคนที่พูดภาษามะนาวไม่มีน้ำ ยิ่งต้องฟังให้ดี อ่านให้ขาดว่าเขาต้องการสื่อสารสิ่งใด เพราะรับผิด ฟังผิด ก็เจ็บใจไปเปล่าๆ
(ลิ้น)


... ไม่ว่ารักหรือชัง พอมากเกินแล้วมันก็ออกอาการพลุ่งพล่าน
ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่มาใด เราคงพูดว่าความพลุ่งพล่านเป็นความดีงามไม่ได้
(แด่นักพิพากษา)


... ตราบใดที่มนุษย์ยังถกเถียงกัน ผมนับเป็นความงดงามของการดำรงอยู่
เห็นต่างก็แลกเปลี่ยนเสวนา ไม่ใช่เอาปืนมายิงกัน
วิถีประชาธิปไตยเป็นเช่นนี้ นี่เป็นเหตุผลที่เขาสร้างโรงเรียน สร้างมหาวิทยาลัย

(เรื่องส่วนตัว)



ครับ, ไว้อ่านจบเล่มเมื่อไหร่ คงมีโอกาสได้มาบอกเล่าสู่กันฟังอีกหน หรือท่านใดรอไม่ไหว อาจไปอุดหนุนนักเขียนผ่านร้านหนังสือใกล้บ้าน ยิ่งน่ายินดี ครับ


.............................................................................................

หนังสือ : จุดเทียนทั้งปลายทั้งโคน
พิมพ์ครั้งแรก : มีนาคม ๒๕๕๗
นักเขียน : วรพจน์ พันธุ์พงศ์
สำนักพิมพ์ : บางลำพู

...............................................................................................

หมายเลขบันทึก: 570819เขียนเมื่อ 22 มิถุนายน 2014 10:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 ธันวาคม 2015 20:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

<p>มีแผ่นเมฆ..สามเหลี่ยม..บนฟ้ากว้าง..มาฝาก..กับการเดินทาง…ที่มีจุดหมาย..สั้นๆ..เจ้าค่ะ…</p>

อ่านบางตอนที่เอามาเล่า แล้วแอบยิ้มค่ะ

ชอบอ่านหนังสือเวลานั่งรถ นั่งห้องน้ำ บนเตียงนอน

ชอบซื้อหนังสือแล้วเอามาวางเต็มหัวเตียง  หยิบมาอ่านก่อนนอน บางเล่มชอบมากก็อ่านแล้วอ่านอีก บางเล่มอ่านไม่จบ  ดิฉันมีหนังสือที่อ่านไม่จบเยอะค่ะ

สวัสดีครับ คุณ ยายธี

ขอบพระคุณภาพสวยๆ ที่นำมาฝากนะครับ
ต้นไม้สูงลิ่ว ราวยอดเขาสูงที่เชื่อมร้อยไว้กับแผ่นฟ้า ก็ไม่ปาน ครับ

สวัสดีครับ  อ.nui

ผมเองก็อยู่ในสภาวะเดียวกันครับ หนังสือหลายเล่มยังไม่ได้อ่าน
หยิบๆ จับๆ เป็นพลังใจ ผ่อนคายและเยียวยาชีวิตไปพรางๆ 
ขณะอีกหลายเล่ม อ่านยังไม่จบ ก็พักวางไว้  รอเวลากลับไปเสพสัมผัสอีกรอบ ครับ

...มุมมองของผู้ชายนะคะ...บอกให้รู้ถึงนิสัยใจคอ...น่ารักดีค่ะ


ใีข้อคิดดีดีนะคะ .... มุมมองแบบคุณผู้ชาย นะคะ

 " เวลาและแดดฝนทำให้ไม้เล็กทุกต้นกลายเป็นไม้ใหญ่ได้ 

ถ้าไม่มัวดราม่า ฟูมฟายและใช้เวลาอยู่กบการล้มเหลวนานเกินไป "

คำกล่าวนี้.....เป็นจริงจ้ะ  ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่ให้ข้อคิดดี ๆ จ้ะ

ครับ พี่Pojana Yeamnaiyana Ed.D.

เป็นมุมเล็กๆ ละเอียดลออของนักเขียนชายที่มีความโรแมนติกอยู่อย่างน่ารัก น่าเอ็นดู
หากแต่ในบางเรื่องพอถึงจังหวะมองสังคม วิพากษ์สังคมก็ออกตรงไปตรงมา  ฮาร์ดคอร์ อย่างน่าตกใจ
แต่ก็อย่างว่าครับ  เราล้วนต้องเลือกที่จะเสพสารเหล่านั้นด้วยตัวเราเอง...

ขอบพระคุณครับ

ครับ พี่ Dr. Ple

ในเรื่องอื่นๆ ก็ชวนคิดตาม ครับ เช่น ในเรื่อง "เป็นผู้ใหญ่"

มนุษย์เรียนรู้จากข้อมูล ความรู้และประสบการณ์  มนุษย์เติบโตจากข้อมูล ความรู้และประสบการณ์ ...
บางเรื่องเรารู้  บางเรื่องเขารู้  การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างหันนี่เองคือความงดงามของการมีชีวิต

ครับ คุณมะเดื่อ

อ่านหนังสือ
เป็นหนึ่งในการท่องโลกและชีวิต
เป็นหนึ่งในกระบวนการของการเติบโต 

ขอบคุณครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท