เส้นทางนักเขียน...ทำไมถึงอยากเป็นนักเขียน


                                                     ทำไมถึงอยากเป็นนักเขียน

 

                      ดิฉันเป็นคนที่รักภาษาไทยรักวัฒนธรรมไทยรู้แต่ว่ารักมาตั้งแต่เด็กๆ ชอบอ่านหนังสือการ์ตูนนวนิยาย หนังสือทั่วไปมาตั้งแต่ยังเด็กมากชอบคิดชอบจินตนาการ เมื่อโตขึ้นดิฉันอยากเรียนภาษาไทย แต่ไม่ได้รับการส่งเสริมจากครอบครัวเพราะครอบครัวมองว่าภาษาไทยไม่น่าจะทำให้ชีวิตเราก้าวหน้าได้แต่สำหรับตัวดิฉันแล้วก็ยังรู้สึกรักภาษาไทย หลงใหลการอ่านการเขียนแม้จะไม่เก่งดิฉันก็พยายามฝึกหัดดิฉันอยากเป็นนักเขียนแต่ก็ยังไม่กล้าเขียนเพราะคิดว่าตัวเองยังมีข้อมูลน้อยมีประสบการณ์น้อยดิฉันคิดว่าการจะเป็นนักเขียนเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนการที่เราจะสื่ออะไรออกไปสำหรับผู้อ่านนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก การทำงานใดๆ จะต้องมีระบบ หรือเทคนิคเฉพาะ ดิฉันไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงจนกระทั่งเมื่อประมาณห้าปีที่ผ่านมาดิฉันได้ไปทำงานที่จังหวัดภูเก็ตซึ่งห่างไกลจากบ้านมากคิดถึงบ้านไม่รู้จะแก้เหงาได้ยังไงก็เลยเข้าไปสู่เว็ปไซต์นิยาย www.niyay.com คิดว่าเราน่าจะได้พบเจอเพื่อนๆ นักอ่านนักเขียนซึ่งมันเป็นโลกแห่งความสุขจริงๆ ค่ะ

                        เมื่อพูดคุยกับเพื่อนๆ แล้วไม่เหงาในระบบยังมีให้เราลองฝึกหัดเป็นนักเขียนได้อีกด้วยดิฉันจึงนึกสนุกอยากเป็นนักเขียนจริงๆ จังๆ ขึ้นมาโดยไปซื้อหนังสือ “นักเขียนมือใหม่” มาอ่านแล้วก็ค่อยๆ ฝึกไปเมื่อได้เริ่มขึ้นก็เหมือนไฟเริ่มลุกโชนเรารู้ว่าเรามีความสุขสนุกกับการเขียนมากเลยค่ะได้ฝึกเขียนทั้งกลอนเรื่องสั้นเรื่องยาว (นวนิยาย) เขียนนิยายเต็มหนึ่งเรื่องชื่อ “มนต์รักเสน่ห์จันทร์” แต่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ค่ะรอจังหวะ และโอกาสที่เหมาะสมทีแรกก็ดูเหมือนจะไม่จริงจังมากนักแต่ได้ไปพูดคุยกับพี่ชายคนหนึ่ง ซึ่งท่านอายุมากแล้วท่านเป็นนักเขียน ท่านจึงบอกว่า “ปากกาคือ จอบ กระดาษ คือ ผืนดิน” ถ้าน้องอยากเป็นนักเขียนต้องหมั่นขุด หมั่นเขียนเพราะการเขียนนั้นต้องอาศัยเทคนิคการฝึกฝน  รู้แต่ว่าประทับใจมากค่ะแล้วหลังจากนั้นก็ขุดใหญ่เลยแต่เนื่องจากดิฉันมีอาชีพประจำเป็นอาจารย์ มีข้อบังคับเรื่องการที่ต้องรับภาระงานสอนรวมถึงการทำผลงานวิชาการ คือ การเขียนหนังสือให้เด็กๆ ได้เรียน อาจารย์ผู้ใหญ่บอกว่าเราใช้เวลาไร้ประโยชน์เราควรจะหันมาเขียนหนังสือวิชาการ เพื่อความก้าวหน้าเราจึงเอาความสุขที่ได้รับจากการเขียนงานพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้นนวนิยายนั้นมาประสานสู่งานประจำก็เลยแบ่งปันความสุขจากงานเสริม เอาเข้ามาต่อเติมในงานประจำคือ ลองเขียนหนังสือเชิงบูรณาการขึ้นมา ชื่อ “Life Spring” ชีวิตติดสปริงที่พึ่งจะเอาออกจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไปทั่วประเทศไม่นานนี่เองเนื่องจากดิฉันรักงานเขียนมากๆและก็คอยติดตามงานของสมาคมนักเขียนมาโดยตลอดแต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปร่วมสักครั้งทั้งๆ ที่อยากไปมากค่ะดิฉันบอกกับตนเองเสมอว่า เป้าหมายสุดท้ายแห่งชีวิตคงจะจบสิ้นลมหายใจไปด้วยปลายปากกา...นอกจากนี้ดิฉันมีงานเขียนมากมายที่ตั้งใจว่าจะเขียน และจะค่อยๆ เขียนออกมาเรื่อยๆ ไม่รีบเร่งเพราะอยากทำงานที่มีคุณภาพ สำหรับจุดเริ่มต้นชีวิตนักเขียนของดิฉันนอกจากจะมาจากคำกระทุ้งแรงๆ ของพี่ชายนักเขียนซึ่งท่านเป็นนักเขียนรุ่นเก๋าแล้ว (โสภณดิลก)ดิฉันเคยได้รับรางวัลจากการเขียนบทส่งท้ายเรื่องสั้นแนวหักมุม (twist Ending) จากคุณวินทร์ เลียววารินซึ่งต้องบอกว่ารางวัลนั้นแม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ แต่มันยิ่งใหญ่มาก จากเพียงบทส่งท้ายเรื่องสั้นทำให้ดิฉันเกิดแรงบันดาลใจสามารถเขียนหนังสือดีๆ ออกมาได้อย่างเหลือเชื่อค่ะแม้นจะได้รับคำวิจารณ์ว่า เขียนบทสุดท้ายของเรื่องสั้นได้เหมือนสุดยอดปรมาจารย์ โอ เฮ็นรี่ และสุดยอดเมโรดราม่าแต่ว่านั่นแหละคือบทเริ่มต้นแห่งชีวิตนักเขียนของดิฉัน

                   ท้ายนี้ขอบพระคุณสำหรับโอกาสดีๆ นะคะที่ได้ให้เขียนเรียงความ พอรู้ว่าต้องมานั่งเขียนเรียงความก็มักจะนึกถึงตอนเด็กๆ เสมออย่างน้อยก็รู้สึกดีค่ะถึงแม้ว่าจะได้รับเลือก หรือไม่ก็ตามแค่ได้เขียนก็มีความสุขแล้ว ขอบพระคุณมากค่ะ

                   ตอนนี้ดิฉันก็กำลังมีความสุขกับการเขียนหนังสือเล่มใหม่    แต่สิ่งที่อยากทำที่สุดคือ อยากจะเข็ญ นวนิยาย           เรื่อง”มนต์รักเสน่ห์จันทร์ซึ่งเป็นนวนิยายเรื่องแรกที่ตั้งใจเขียนมากออกไปสู่สายตาผู้อ่านค่ะ ที่พูดแบบนี้เพราะการเขียนนวนิยายของดิฉันยังถือว่ายังไม่สำเร็จเพราะยังขาดเทคนิคขาดพี่เลี้ยงดีๆที่จะมาช่วยชี้ทางสว่างให้ มาช่วยตบ ช่วยตี งานของดิฉันให้ดูดีมีคุณภาพพร้อมส่งถึงผู้อ่านอย่างมีความสุขอยากจะทำให้เป็น “นวนิยายอมตะ” และดิฉันก็ยังแอบคิดนิดๆ ว่ามันน่าจะเป็นไปได้นะคะนอกจากนี้ดิฉันยังมีเค้าโครงเรื่องนิทานสำหรับเด็ก และเยาวชนไว้เขียนส่งเข้าประกวดชิงรางวัลหวังว่า “นานมีบุ๊ค จะให้ โอกาสคนช่างฝัน”       อย่างดิฉันสักคนนะคะ....ดิฉันคิดว่าหากดิฉันได้รับโอกาสดิฉันจะทำให้ดีที่สุดจะไม่ทำให้ทีมงานผิดหวังค่ะ......

                                            ดร.ธีรกานต์โพธิ์แก้วนามจริงสำหรับหนังสือทั่วไป

                                             ธี   รัตนชาติ           นามปากกาสำหรับนวนิยายรักดราม่า

                                                   อมรวีลา           นามปากกาสำหรับเรื่องสั้นนวนิยายแฟนตาซีแนวพลังจิต

                                                    มะลิจัง            นิทานสำหรับเด็กและเยาวชนและนิยายรักหวานแหว๋ว

หมายเลขบันทึก: 570430เขียนเมื่อ 14 มิถุนายน 2014 21:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน 2014 21:11 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

"ปากกาคือ จอบ กระดาษ คือ ผืนดิน” ประโยคนี้งดงามค่ะ

ขอบพระคุณค่า  คุณครู "Noktalay"

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท