สภาผู้แทนราษฎรอินเดีย (โลกสภา)
https://www.google.co.th/search?q=Lok+Sabha,+India&source
ตั้งแต่อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษค.ศ.1947 ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของนักการทูตอินเดียที่ใช้ในการสนทนาและการติดต่อสื่อสารทั้งหมด แม้ว่าภาษาประจำชาติคือภาษาฮินดีก็ตาม ซึ่งขณะนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจากผู้นำของประเทศแล้ว
อินเดียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางภาษา และสามารถจัดการเรื่องนโยบายภาษาได้เป็นอย่างดีด้วยการยกย่อง และยอมรับให้มีภาษาราชการถึง 22 ภาษาอย่างเป็นทางการ และมีภาษาที่ไม่เป็นทางการอีกนับร้อยๆ ภาษา เมื่อนักการเมืองชาตินิยมขึ้นสู่อำนาจ ภาษาฮินดีกลับมาเป็นภาษาการทูตของนักการเมือง นักการทูตอินเดียจากวันแรกที่รัฐบาลใหม่พรรคบีเจพี นำโดยนายกฯ Modi ท่านใช้ภาษาฮินดีกับผู้นำของ SAARC ที่มาจากเอเชียใต้ แม้ว่าภาษาแม่ของท่านจะเป็นภาษากุจาราตี และท่านสามารถพูดได้ทั้งฮินดีและอังกฤษเหมือนชาวอินเดียจำนวนมาก นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ Sushma Swaraj และรัฐมนตรีอีกสองสามท่านของพรรคบีเจพีสาบานตนด้วยภาษาสันสกฤต ซึ่งทำให้รัฐมนตรีหลายท่านจากรัฐพิหารเรียกร้องที่จะใช้ภาษามายถิลีในการสาบานตนในสภาผู้แทนราษฎรด้วย
นักการทูตท่านหนึ่งให้ข้อสังเกตว่า “ท่านนายก Modi สนทนากับผู้นำต่างๆ ด้วยภาษาอังกฤษ แต่พอถึงจุดที่ละเอียดอ่อนท่านจะสื่อด้วยภาษาฮินดี”
(ประมวลจาก http://timesofindia.indiatimes.com/india/Hindi-may-be-the-new-lingua-franca-of-Indian-diplomacy/articleshow/36112447.cms และhttp://timesofindia.indiatimes.com/ india/When-Sanskrit-echoed-in-in-the-Lower-House articleshow/36120297.cms)
จากเรื่องนี้ แสดงให้เห็นถึงความรักชาติ รักภาษาแม่ ภาษาประจำชาติของตนและต้องการแสดงออกถึงความเป็น “อินเดีย” โดยผ่านภาษาซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อความคิด นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลให้กับมวลมหาประชาชนชาวอินเดียที่มีผู้พูดภาษาฮินดีเป็นภาษาประจำชาติมากที่สุด ภาษาสะท้อนอัตลักษณ์ตัวตนของคน นักการเมืองอินเดียในรัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญและลงมือทำให้ดูก่อน แม้ว่าผู้นำเหล่านี้สามารถใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้คล่องแคล่วเป็นอย่างดี แต่นั่นเป็นภาษาที่แสดงให้เห็นถึง “การครอบงำ” ของอดีตอาณานิคมอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาแม่หรือภาษาที่เป็นของชาวอินเดียจริงๆ เพราะยังมีประชาชนชาวอินเดียอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้เรียน และสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ การใช้ภาษาแม่หรือภาษาฮินดีในฐานะภาษาประจำชาติจะเป็นช่องทางหนึ่งในการสื่อได้ตรงจากผู้ส่งสาร (นักการเมือง) ถึงผู้รับสาร (ประชาชนชาวอินเดีย) ทำให้เกิดการรับรู้ เข้าใจ เข้าถึงกันในวงกว้างได้ดีขึ้นกว่าการใช้ภาษาอังกฤษ
ประเทศไทยน่าจะได้เรียนรู้ว่าถึงอย่างไรการเป็นผู้รู้มากกว่าหนึ่งภาษาก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น แต่นโยบายภาษาแห่งชาติของประเทศไทยยังไม่มี เราควรต้องหาวิธีที่จะจัดการให้ลูกหลานได้เรียนภาษาต่างประเทศหลังจากที่เริ่มเรียนภาษาแม่หรือใช้ภาษาแม่ให้แข็งแรงก่อน แล้วจึงค่อยเรียนรู้ภาษาต่างประเทศซึ่งไม่ควรกระหน่ำเรียนหลายๆ ภาษาพร้อมกันเหมือนที่หลายโรงเรียนในหลายท้องที่ของประเทศไทยกำลังตื่นตระหนกกับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน จนทั้งครูและนักเรียนเกิดความสับสนไปหมด ผลสัมฤทธิ์ที่ควรจะได้ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีระบบการบริหารจัดการที่ดี ที่เกิดจากความเข้าใจอย่างแท้จริง
ท่านที่สนใจจะศึกษาเรื่องราวของอินเดียเพื่อเตรียมตัวเข้าประลองสนามการทำงานกับมหาอำนาจประเทศนี้ในอนาคต สามารถสมัครเข้าศึกษาต่อในหลักสูตรวัฒนธรรมศึกษา เอกอินเดียศึกษา สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชียได้ในปลายปีนี้ โปรดติดตามรายละเอียดในเฟสนี้อย่างต่อเนื่อง และเข้าชมได้ที่ www.lc.mahidol.ac.th; Indian-Studies Mahidol-University พร้อมกับการให้ทุนสนับสนุนในการฝึกปฏิบัติภาคสนามที่ประเทศอินเดียด้วย
ขอบคุณ บันทึกดีดีนี้ค่ะ
ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ เป็นวิธีที่จะเรียนรู้และเข้าใจผู้อื่น เพื่อสะท้อนดูตัวเองค่ะ