คนต่างด้าวในประเทศไทย


คนต่างด้าว หมายความว่า ผู้ที่มิได้มีสัญชาติไทย “ ดังนั้นคนต่างด้าวจึงอาจเป็นได้ทั้งผู้มีสัญชาติอื่นที่มิใช่สัญชาติไทย หรือไร้สัญชาติ คือไม่มีรัฐใดรับรองสัญชาติให้ ซึ่งการไร้สัญชาติไทยนั้น อาจส่งผลให้คนต่างด้าวถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งที่สิทธิดังกล่าวเป็นสิทธิที่บุคคลทุกคนได้รับ และรับรองไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน [1] ข้อ 2 ทุกคนมีสิทธิและอิสรภาพทั้งปวงตามที่กําหนดไว้ในปฏิญญานี้โดยปราศจากการแบ่ง แยกไม่ว่าชนิดใด อาทิเชื้อชาติ

 จากกรณีศึกษาครอบครัวหม่องภา ครอบครัวข้ามชาติที่อพยพจากเมียนมาร์เข้าประเทศไทย ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ.2543 ด้วยเหตุทางเศรษฐกิจ ที่มีความลำบากในการประกอบอาชีพหาเลี้ยงครอบครัว จากข้อเท็จจริงนายหม่อง นางภา และบุตรทั้ง 2 เกิดที่ประเทศเมียนมาร์ จึงไม่มีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศไทยโดยการเกิด จึงไม่อาจมีสิทธิในสัญชาติไทยโดยการเกิด และยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ประเทศเมียนมาร์ได้บันทึกบุคคลทั้ง 4 ในทะเบียนราษฎร พวกเขาจึงตกเป็นคนไร้รัฐ และไร้สัญชาติ คือไม่มีรัฐใดในโลกรับรองสัญชาติให้เป็นคนในรัฐ สมาชิกในครอบครัวหม่องภาจึงเป็นคนต่างด้าว ตามกฎหมายไทย เนื่องจากไม่มีสัญชาติไทย  และเนื่องจากครอบครัวหม่องภาได้เข้าประเทศไทยโดยไม่มีหนังสือเดินทางที่ ออกโดยเมียนมาร์ เพราะไม่มีสถานะเป็นคนในรัฐ จึงไม่อาจเป็นคนเข้าเมืองตามกฎหมาย พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และมีสถานะเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ไม่มีสิทธิอาศัยในประเทศไทย  แต่จากกรณีศึกษาบุคคลทั้ง 4 มีจุดเกาะเกี่ยวกับ รัฐเมียนมาร์โดยหลักดินแดนและหลักสืบสายโลหิต บุคคลทั้ง 4 จึงมีสิทธิในสัญชาติ และควรพิสูจน์สัญชาติเมียนมาร์เพื่อให้ไม่ตกเป็นคนไร้สัญชาติและมีรัฐเมีย นมาร์คุ้มครอง แต่การกระทำดังกล่าวไม่อาจทำได้เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลเมียนมาร์ และผู้นำชาติพันธุ์ไทยใหญ่   

พิจารณาต่อมาบุคคลในนายหม่องและนางภาแม้ไม่มีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศไทยโดย การเกิด แต่มีการกระทำที่เข้าเงื่อนไขการได้สัญชาติภายหลังการเกิดเนื่องจากปรากฏว่า มีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศไทยโดยการอาศัยในประเทศมาเป็นเวลากว่า 14 ปี มีความกลมกลืนกับวัฒนธรรม และจ่ายภาษี จึงมีสิทธิขอแปลงสัญชาติเพื่อใช้สัญชาติไทยได้ รัฐไทยจึงมีหน้าที่รับรองสัญชาติให้ นายหม่องและนางภาครอบครัวหม่องภา ตามพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา 11 ประกอบ มาตรา 10 ซึ่งสิทธิในสัญชาติเป็นสิทธิมนุษยชนที่ถูกรับรองไว้ใน ข้อ 15 (1) สิทธิในสัญชาติ ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่รัฐไทยมีหน้าที่ต่อครอบครัวหม่องภา การที่ไม่รับรอง  แต่ปัญหาดังกล่าวก็หมดไปสำหรับนายหม่องและนางภาเนื่องจากในตอนนั้นมีความ ตกลงร่วมกันของรัฐไทยและเมียนมาร์เพื่อ ออกหนังสือให้แรงงานไร้ฝีมือ คือ Oversea Worker Identification Card ซึ่งเท่ากับว่าเป็นการที่รัฐเมียนมาร์ได้รับรองสัญชาติเมียนมาร์แก่นายหม่อง และนางภา ทำให้ทั้งสองไม่ประสบปัญหาคนไร้สัญชาติ

  ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นรัฐเจ้าของตัวบุคคลของครอบครัวหม่องภา จึงมีหน้าที่ต้องรับรองสถานะบุคคลให้แก่คนไร้รัฐในประเทศตน  ซึ่งรัฐก็ได้บันทึกเด็กทั้งสองในทะเบียนราษฎรไทยแล้ว ทั้งน้องดวงตา และน้องจุลจักร บุตรของนายหม่องและนางภา ที่ไม่ใช่แรงงานที่ขึ้นทะเบียน แม้ไม่ได้รับหนังสือรับรองสัญชาติเมียนมาร์ ทั้งที่มีสิทธิในสัญชาติทั้งหลักดินแดนและหลักสืบสายโลหิต เด็กทั้งสองจึงยังประสบปัญหาความไร้สัญชาติ แต่ไม่ประสบปัญหาความไร้รัฐ เพราะน้องดวงตาได้รับการบันทึกในทะเบียน ท.ร.38 ก ในฐานะนักศึกษาไร้สัญชาติ และน้องจุลจักรได้ขึ้นทะเบียน ท.ร.38/1 ภายใต้ทะเบียน MOU ว่าด้วยการจ้างแรงงานต่างด้าว รัฐไทยจึงมิได้ละเมิดสิทธิในการรับรองความมีตัวตนของเด็กทั้งสอง และมีหน้าที่ผลักดันให้เด็กทั้งสอง ได้รับรองสัญชาติเมียนมาร์ เพราะมีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศเมียนมาร์

 เมื่อครอบครัวหม่องภาก็ได้รับการบันทึกในทะเบียนราษฎรไทย ไม่ใช่คนไร้รัฐ ในฐานะ คนต่างด้าวที่ไม่มีสิทธิอาศัย  ต่อมาปัจจุบันนายหม่องและนางภาได้มีสิทธิอาศัยชั่วคราวและมีชื่อในทะเบียน บ้าน และหากใช้สิทธิดังกล่าวย่อมส่งผลให้บุตรทั้งสองได้สิทธิอาศัยตามบิดามารดา ด้วย แต่นายหม่องและนางภายังมิได้ใช้สิทธิ  และการที่ไม่ได้ใช้สิทธิคนต่างด้าวที่มีสิทธิอาศัยชั่วคราวจึงส่งผลให้ นายหม่องและนางภา ไม่สามารถมีสิทธิเดินทางได้โดยอิสระ เพราะถูกจำกัดด้วยสถานะที่เป็น คนต่างด้าวที่ไม่มีสิทธิอาศัย การจะเคลื่อนย้ายก็ต้องแจ้งต่ออำเภอก่อน ในกรณีดังกล่าวแม้เป็นการละเมิดสิทธิในการเดินทาง ตามข้อ 13 ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ของคนต่างด้าว เพราะในความเป็นจริงบุคคลย่อมมีสิทธิเดินทางได้โดยไม่ถูกแทรกแซง ทางแก้คือ ทางแก้คือ นายหม่องและนางภาควรไปใช้สิทธิขึ้นทะเบียนคนต่างด้าวมีสิทธิอาศัยชั่วคราว เพื่อให้มีสิทธิเดินทางได้โดยอิสระ

 และแม้ทุกคนยังมีสถานะของ คนต่างด้าวไม่มีสิทธิอาศัยนั้น แต่ก็ยังคงมีสิทธิในการประกอบอาชีพดังที่ รับรองไว้ [2] ตาม ข้อ 23 ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และมีสิทธิการเลือกงานโดยอิสระ  แต่การที่คนต่างด้าวในประเทศไทยถูกจำกัดมิให้ประกอบอาชีพบางประเภท  การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการละเมิดสิทธิในการประกอบอาชีพเพราะเป็นสิทธิมนุษยชนของคนต่างด้าว ซึ่งแม้ประเทศไทยได้มีบทบัญญัติของกฎหมายที่ค้มครองคนต่างด้าว แต่เนื่องด้วยสถานะความเป็นคนต่างด้าว รัฐไทยจึงต้องมีเงื่อนไขในการใช้สิทธิบางประการภายในประเทศ เพื่อความมั่นคงแห่งรัฐ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการจำกัดกิจกรรมบางอย่าง ที่จำเป็นต้องสงวนให้คนสัญชาติไทยเท่านั้น

บันทึกเมื่อ 19 พฤษภาคม 2557 

เอกสารอ้างอิง

[1] ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน Universal Declaration of Human Rights (ออนไลน์), สืบค้นจาก : http://www.mfa.go.th/humanrights/images/stories/udhrt.pdf , [19 พฤษภาคม 2557

[2] ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน Universal Declaration of Human Rights (ออนไลน์), สืบค้นจาก : http://www.mfa.go.th/humanrights/images/stories/udhrt.pdf , [19 พฤษภาคม 2557]

หมายเลขบันทึก: 568747เขียนเมื่อ 19 พฤษภาคม 2014 18:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 พฤษภาคม 2014 18:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท