สิทธิมนุษยชน[1]หมายถึงสิทธิที่ทุกคนมีอยู่ในฐานะเป็นมนุษย์ ทั้งสิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ในส่วนบุคคลและสิทธิในการอยู่ร่วมกันในสังคม สิทธิในความเป็นมนุษย์นั้น มีทั้งสิทธิตามกฏหมายและสิทธิที่มีอยู่โดยไม่ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติของกฏหมาย แต่เป็นสิทธิที่เกิดจากมาตรฐานเพื่อความถูกต้อง ความเป็นธรรม หรือความยุติธรรม แต่เดิมสิทธิมนุษยชนจะกล่าวถึงในชื่ออื่น เช่น สิทธิในธรรม สิทธิในธรรมชาติ เป็นต้น
สิทธิในชีวิต ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้และได้รับการคุ้มครองให้ปลอดภัยได้รับการตอบสนองตามความต้องการขั้นพื้นฐานของชีวิต ได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่มห่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย ทุกชีวิตล้วนมีคุณค่าด้วยกันทั้งสิ้น ไม่วาจะเป็นบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือเพื่อการดำรงชีวิตอยู่เป็นพิเศษจากผู้อื่น เช่น คนพิการ คนชรา ฯลฯ ดังนั้นทุกคนควรปฏิบัติต่อบุคคลด้อยโอกาส ให้ความสำคัญ ให้โอกาสและให้ความช่วยเหลือตามสมควร เพื่อให้ทุกชีวิตมีความเท่าเทียมกันมากที่สุด
ในกรณีตัวอย่าง ที่ผู้เขียนจะนำมาพิจารณาในเรื่องของการละเมิดสิทธิในชีวิต ของ น้องผักกาด[2] หรือ ด.ญ.ผักกาด เกิดที่โรงพยาบาลเเม่สอดในปี พ.ศ. 2549 มีบุพการีเป็นคนเมียนม่าร์ น้องผักกาดมีความพิการมาตั้งเเต่กำเนิด คือ ศีรษะของน้องบวมเเละใหญ่มากซึ่งจากอาการดังกล่าวส่งผลให้น้องไม่สามารถพูดและเดินได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป ซึ่งจากอาการป่วยดังกล่าวของน้องบุพการีจึงทอดทิ้งน้องไว้ที่โรงพยาบาลพบพระตั้งเเต่เกิดโดยไม่ได้มีการเเจ้งเกิดแต่อย่างใด และเนื่องจากไม่มีใครคิดว่าน้องจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ทางโรงพยาบาลจึงไม่มีการออกหนังสือรับรองการเกิด
ซึ่งตาม พรบ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534[3] มาตรา 23 กำหนดให้สถานพยาบาลเป็นผู้ออกเพื่อเอาไว้เป็นหนังสือรับรองการเกิด
ดังนั้นการที่น้องผักกาดไม่ได้รับ การจดทะเบียนราษฎร จึงเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ของน้องผักกาด ทำให้น้องประสบปัญหาความไร้รัฐโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ ไร้ทั้งรัฐและไร้สัญชาติ ตลอดจนถูกถือเป็นคนผิดกฎหมายเข้าเมืองของทุกรัฐบนโลก ซึ่งผลกระทบที่ตามมาคือ ปัจจุบันน้องยังคงมีชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลพบพระ มีอายุประมาณ 8 ปีเเบ้ว แต่น้องไร้สิทธิต่างๆที่น้องควรจะได้รับ ไร้สิทธิในหลักประกันสุขภาพในกองทุนเพื่อบุคคลที่มีปัญหาสถานะตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 ทั้งที่น้องมีปัญหาสถานะบุคคล
เมื่อพิจารณาจากปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 6 ซึ่งมีหลักว่า ทุกๆคนมีสิทธิที่จะได้รับ การยอมรับว่าเป็นบุคคลในกฎหมาย ไม่ว่า ณ ที่ใดๆ จะเห็นได้ว่าน้องผัดกาดนั้นเกิดมาเเละอยู่รอดเป็นบุคคลตามกฎหมาย ดังนั้นเรื่องของการพิสูจน์สถานะบุคคลของเด็กถูกทอดทิ้งนั้นจะต้องปฎิบัติให้เป็นไปตาม พรบ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534
มาตรา 19 ผู้ใดพบเด็กในสภาพแรกเกิดหรือเด็กไร้เดียงสาซึ่งถูกทอดทิ้ง ให้นำตัวเด็กไปส่งและแจ้งต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งปฏิบัติงานในท้องที่ที่พบเด็กนั้นโดยเร็ว เมื่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับตัวเด็กไว้แล้วให้บันทึกการรับตัวเด็กไว้ ในกรณีที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจรับเด็กไว้ ให้นำตัวเด็กพร้อมบันทึกการรับตัวเด็กส่งให้เจ้าหน้าที่ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในเขตท้องที่ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้รับตัวเด็กไว้หรือได้รับตัวเด็กจากพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจแล้ว ให้แจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนผู้รับแจ้งและให้นายทะเบียนออกใบรับแจ้ง ทั้งนี้ตามระเบียบและแบบพิมพ์ที่ผู้อำนวยการทะเบียนกลางกำหนด
ดังนั้นโดยหลักเเล้วผู้ที่มีหน้าที่จะต้องนำตัวน้องผักกาดไปส่งและเเจ้งต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามที่ระบุไว้ตามมาตรา 19 ก็คือ โรงพยาบาลพบพระ แต่เนื่องจากน้องผัดกาดมีความพิการเเต่กำเนิด ไม่ได้มีบุพการีเป็นคนสัญชาติไทยเเต่เกิดในประเทศไทยจึงต้องพิจารณาให้น้องผักกาดมีทะเบียนประวัติตามมาตรา 38 วรรค 2
มาตรา 38 ให้นายทะเบียนอำเภอหรือนายทะเบียนท้องถิ่นจัดทำทะเบียนบ้านสำหรับคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทยที่ได้รับการผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเฉพาะรายตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และบุตรของบุคคลดังกล่าวที่เกิดในราชอาณาจักร ในกรณีผู้มีรายการในทะเบียนบ้านพ้นจากการได้รับอนุญาตหรือผ่อนผันให้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักร ให้นายทะเบียนจำหน่ายรายการทะเบียนของผู้นั้นโดยเร็ว
นอกจากนี้ในกรณีของน้องผักกาดมีบุพการีเป็นชาวเมียนมาร์ ดังนั้นน้องจึงมีสิทธิในสัญชาติเมียนมาร์ตามหลักสืบสายโลหิตอีกด้วย ทางรัฐไทยจึงควรประสานงานกับทางประเทศเมียนมาร์เพื่อช่วยแก้ปัญหาสถานะบุคคลที่เกิดขึ้นกับน้องผักกาด เพื่อที่น้องจะสามารถเข้าถึงสิทธิต่างๆตามสมควรที่น้องพึงจะได้รับต่อไป
[1] สิทธิมนุษยชน http://www.oknation.net/blog/print.php?id=390479
[2] กรณีตัวอย่าง เอกสารประกอบการเรียนการสอน : กรณีศึกษาเด็กและเยาวชนที่ประสบปัญหาความด้อยโอกาสทางสุขภาพเพราะพิการและป่วยหนัก โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557
[3] ซึ่งตาม พรบ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 http://www.thailandlawyercenter.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=538973729&Ntype=19
ไม่มีความเห็น