โรฮิงญา
เป็นกลุ่มชนบริเวณชายแดนฝั่งพม่าที่พูดภาษาจิตตะกอง-เบงกาลี และนับถือศาสนาอิสลาม
ซึ่งรัฐบาลทหารพม่าปฏิเสธสถานภาพพลเมืองของชาวโรฮิงยา
ส่งผลให้มีชาวโรฮิงยาจำนวนมากต้องอพยพลี้ภัยไปยังประเทศอื่นเพื่อแสวงหา
ชีวิตที่ดีกว่า
มักมีคนเข้าใจผิดว่าอาระกันกับโรฮิงญาคือคนกลุ่มเดียวกัน
จริงๆแล้วชาวอาระกันและชาวโรฮินยาเป็นคนละกลุ่มกัน ชาว
อาระกันมาจากรัฐอาระกันหรือรัฐยะไข่ของพม่า ส่วนชาวโรฮินยาหรือโรฮิงญามาจากเมืองจิดตะกองของบังกลาเทศ
ทั้งสองกลุ่มเป็นพวกเชื้อสายเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน แยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร
ต่างกันที่สัญชาติเพราะอยู่คนละประเทศ แต่นับถือศาสนาเดียวกันคือ อิสลาม
แต่โดยส่วนใหญ่แล้วชาวโรฮิงญาแล้วจะอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของรัฐอะรากัน (ยะไข่)
ในตอนเหนือของประเทศพม่าติดกับชายแดนประเทศบังกลาเทศ
มากกว่าอาศัยอยู่ในบังคลาเทศ ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมือง Maungdaw, Buthidaung,
Rathedaung, Akyab และ Kyauktaw
ตั้งแต่แรกเริ่มเป็นต้นมา
ประเทศพม่ามองว่าพวกโรฮิงญาไม่มีความจงรักภักดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชาวโรฮิงญาบางคนต้องการสร้างรัฐอิสระขึ้นทางอะรากันตอน
เหนือ และผนวกเข้ากับปากีสถาน
พม่าไม่ยอมรับว่าโรฮิงญาเป็นพลเมือง และในปี
พ.ศ. 2491 กองทหารพม่าออกปฏิบัติการกวาดล้างพวกนี้ หมู่บ้านหลายร้อยแห่ง
“ถูกเผาและคนหลายพันคนถูกฆ่า ทำให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมหาศาลอพยพหนีไปยังบริเวณที่เป็นปากีสถานในขณะนั้น”
(Yunus 1995:3) และ
นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการที่เจ้าหน้าที่ทางการพม่าพยายามจะข่มขวัญและขับไล่
พวกโรฮิงญาในครั้งต่อ ๆ มาอีก
ทำให้ผู้ลี้ภัยหลั่งไหลเข้าสู่ปากีสถานและต่อด้วยบังคลาเทศระลอกแล้วระลอกเล่า
ในมุมมองของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า
ชาวโรฮิงยาส์เป็นประชาชนที่ "ลี้ภัยอย่างผิดกฎหมาย"
และอพยพมากจากประเทศบังกลาเทศในสมัยที่พม่าตกอยู่ภายใต้อาณานิคมของจักรวรรดินิยมอังกฤษ
ดังนั้นด้วยทัศนคติเช่นนี้ของรัฐบาลเผด็จการพม่าทำให้ประชาชนชาวโรฮิงยาส์ไม่ได้รับการรวมเข้าไปในกลุ่มชนพื้นเมือง
(Indigenous groups) ในรัฐธรรมนูญพม่า ส่งผลให้ไม่ได้รับสัญชาติพม่า
ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ทางการที่นั่นต้อนรับพวกโรฮิงญาในฐานะเป็นโมฮาเจียร์
(ผู้ลี้ภัยอิสลาม)
และตามรายงานข่าวทางการได้วางแผนจะสร้างหมู่บ้านตัวอย่างที่เหมือนไร่นา
สหกรณ์แบบรัสเซียให้กับคนพวกนี้ (“Chottograme”1949)
แผนการนี้ไม่ได้กลายเป็นรูปธรรมขึ้นมา
และต่อมาอีกไม่นานโรฮิงญาก็ได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นคนต่างด้าว
ในช่วงต้นทศวรรษ 1990
มีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญากว่า 250,000 คน
อาศัยอยู่ในบังคลาเทศในค่ายที่สหประชาชาติดูแลอยู่ในแถบบริเวณชายแดน บางคนกลับไปพม่าในเวลาต่อมา
บางคนหลอมรวมเข้ากับสังคมบังคลาเทศ และประมาณ 20,000 คน
ยังอาศัยอยู่ในค่ายใกล้กับเท็คนาฟ อย่างน้อยอีก 100,000 คน อาศัยอยู่นอกค่าย
และทางการบังคลาเทศพิจารณาว่าเป็นผู้ลี้ภัยที่ผิดกฎหมาย ในปี พ.ศ. 2542
ชาวโรฮิงญากลุ่มนี้อย่างน้อย 1,700 คน ติดคุกในบังคลาเทศด้วยข้อหาข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมาย
(UNHCR 1997:254; “Twenty-five” 1999)
ผู้ลี้ภัยโรฮิงญาที่ยากจนไร้สัญชาติจำนวนมากจึงอพยพไปสู่เมืองใหญ่ในบังคลาเทศ
มาเลเซีย ปากีสถาน และเดินทางต่อไป
ซึ่งประเทศแถบอ่าวเปอร์เชียที่ซึ่งเชื่อกันว่ามีคนกลุ่มนี้กว่า 200,000
คนอาศัยอยู่ในช่วงทศวรรษ 1990 (Lintner 1993; Human Rights Watch 2000)
ชาวโรฮิงญาบางคนได้รับความช่วยเหลือจากองค์การอิสลามต่าง ๆ
และเข้าร่วมการต่อสู้ในอัฟกานิสถานโดยต้องทำหน้าที่เสี่ยงภัยที่สุดใน สมรภูมิรบ
กวาดล้างกับระเบิดและแบกสัมภาระ (Lintner 2002) ดังนั้นการที่ประเทศพม่าไม่ไว้ใจชุมชนชายแดนจึงนำไปสู่การพลัดถิ่นข้ามชาติ
อย่างรวดเร็วและทำให้ปัจจุบันมีชุมชนอินเตอร์เน็ต
และแหล่งข่าวข่าวของโรฮิงญาเองเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก
สาเหตุที่โรฮิงญาไม่สามารถอยู่ในประเทศของตนเองได้
และส่งกลับไปก็จะหนีออกมาอีก
ชาวโรฮิงยาส่วนใหญ่ยังคงถูกปฏิเสธสิทธิในสัญชาติภายใต้กฎหมายพลเมืองพม่าปี
2525 พวกเขาอาศัยอยู่ในรัฐระไข่ห์ ตอนเหนือ
ซึ่งยังคงต้องขออนุญาตและชำระค่าธรรมเนียมเพื่อออกจากหมู่บ้าน
เรื่องดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อความสามารถในการค้าขายและแสวงหางานทำ
นอกจากนั้นพวกเขามักจะถูกบังคับให้เป็นแรงงานอีกด้วย
ชาวมุสลิมโรฮิงยายังถูกจำกัดสิทธิพลเมืองอีกหลายประการ
ได้แก่ ไม่มีอิสระในการเดินทาง การบังคับเก็บภาษี การยึดที่ดินและบังคับย้ายถิ่น
การขัดขวางการเข้าถึงด้านสาธารณสุข ที่พักอาศัยและอาหารไม่เพียงพอ
การบังคับใช้แรงงาน รวมทั้งมีข้อจำกัดในการสมรส
ซึ่งส่งผลให้ชาวมุสลิมโรฮิงยาหลายพันคนอพยพไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
ทำให้สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในภูมิภาคซับซ้อน (1)
การแก้ไขปัญหาจึงต้องดูอย่างน้อยใน
4 มิติ หรือ 4 กรอบระดับด้วยกัน และต้องดำเนินการคู่ขนานกันไป
ระดับแรกที่ประเทศต้นทางคือ พม่า รัฐบาลจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมเริ่มขยับแล้วคือ
ทำการสำรวจประชากรโรฮิงญาเพื่อแยกแยะโรฮิงญาท้องถิ่น(ในพม่า)กับชาวเบงกอล
หรือชาวเชื้อสายเบงกอลที่อาจสวมรอยเป็นโรฮิงญาเข้ามาจากบังคลาเทศและอินเดีย
และการให้ถิ่นพำนักถาวร ออกเอกสารแสดงตน ซึ่งประชาคมโลกโดยเฉพาะหมู่สมาชิกอาเซียนร่วมกับสหประชาชาติอาจร่วมกันเรียกร้องให้รัฐบาลพม่าให้สิทธิพลเมืองในโอกาสแรก
ให้ความช่วยเหลือรัฐบาลพม่าและรัฐบาลท้องถิ่น(รัฐยะไข่)ในการสำรวจประชากร
และการพัฒนาขั้นพื้นฐานเพื่อสร้างอนาคต ตรึงมิให้ชาวโรฮิงญาคิดอ่านล่องเรือไปตายเอาดาบหน้า
เป็นการส่งออกภาระของพม่ามาให้ประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมโลก
ระดับที่สองคือ
การช่วยเหลือดูแลชาวโรฮิงญาที่ติดค้างอยู่ในประเทศแรกรับ หรือระหว่างทาง (Transit)
เช่น ไทย มาเลเซียและอินโดนีเซีย ให้ได้มาตรฐานที่ประชาคมโลกหรือพี่น้องชาวมุสลิมพึงยอมรับได้
หมายถึงเร่งเสริมความพร้อมในการรองรับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สำหรับหน่วยงานหลักในประเทศไทยชั้นนี้คือ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงชีวิต กระทรวงสาธารณสุข
ซึ่งที่ผ่านมายังเป็นลักษณะตามมีตามเกิด คือมอบหมายมาจากรัฐบาลแล้วก็กระจายกันไปตามหน่วยงานสาขาทั่วประเทศ
แต่มิได้จัดหางบประมาณจากส่วนกลางให้เพียงพอเป็นค่าเลี้ยงดูต่างๆ
ค่าจ้างบุคลากรให้เพียงพอ และเพื่อการจัดทำสถานที่ให้สอดคล้องกับหลักมนุษยธรรม
ศักดิ์ศรี และความเป็นมนุษย์
สภาพสถานที่กักขัง
ณ วันนี้นั้น แออัดมากๆและสิทธิพื้นฐาน เช่นในการได้ออกมาสูดอากาศ
ออกกำลังกายก็จำกัดมากๆ เพราะสถานที่ไม่อำนวย
และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่เพียงพอที่จะดูแลป้องกันการหลบหนี
ปัญหาพื้นฐานอื่นๆ เช่น ล่ามไม่เพียงพอ สถานรักษาพยาบาลและบุคลากรการแพทย์ พยาบาล
ณ ที่กักกัน หรืออุปกรณ์เพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา
หรือการเรียนการสอนขั้นพื้นฐานเพื่อใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ก็ยังขาดเหลืออีกมาก
ขณะเดียวกัน
การเปิดโอกาสให้คณะกรรมการกลางอิสลามเข้าไปร่วมดูแลอย่างจริงจังเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระฝ่ายราชการ
และยังเป็นการเสริมสร้างขวัญกำลังใจให้กับชาวมุสลิมโรฮิงญาด้วย
ก็ยังไม่เกิดขึ้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะ
อีกทั้งคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยก็อยู่ในวิสัยที่จะช่วยพูดจากับโลกอิสลาม
เพื่อร่วมให้ความช่วยเหลือได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนั้นคณะกรรมการกลางอิสลามสามารถรับหน้าที่แทนฝ่ายราชการในการจัดหาสถานที่
เป็นศูนย์กลางหรือศูนย์รวมดูแลโรฮิงญาทั้งหมดแทนที่จะกระจายไปจังหวัดต่างๆ
ที่บางจังหวัดไม่มีชุมชนมุสลิมร่วมดูแล ให้คำแนะนำ นอกเหนือจากความคับแคบดังกล่าว
ในระดับที่สาม คือ การส่งไปยังประเทศที่สาม ซึ่งโอกาสการจะได้ไปตั้งถิ่นฐานในประเทศขาประจำดังอดีต
เช่น ประเทศตะวันตกต่างๆ ก็คับแคบลงเพราะปัญหาเศรษฐกิจภายใน
และปัญหาการต่อต้านชาวมุสลิมเรื่องแรงงานมาแย่งงาน
และเรื่องความรู้สึกเกรงกลัวลัทธิสุดโต่งของการนับถือศาสนาที่นำไปสู่ความรุนแรงและเผชิญหน้า
ฉะนั้นโอกาสการไปประเทศที่สามก็น่าจะเป็นภูมิภาคตะวันออกกลาง
เพราะนับถือศาสนาเดียวกัน ที่สำคัญภูมิภาคนี้ต้องการแรงงานทุกระดับ
และชาวโรฮิงญาก็พักอาศัยอยู่ในตะวันออกกลางบ้างแล้ว เช่นที่
ซาอุดิอาระเบียก็มีอยู่แล้วเป็นแสนๆคน
ฉะนั้นรัฐบาลก็น่าจะประชุมหารือกับประเทศตะวันออกกลาง โดยร่วมกับสหประชาชาติเพื่อการนี้ได้
ในระดับที่สี่ คงเป็นไปในกรอบอาเซียนเอง โดยเฉพาะไทยและมาเลเซีย
ต่างขาดแรงงานอย่างมาก
โดยเฉพาะแรงงานที่ไม่ต้องการความรู้หรือความชำนาญการมาก
อีกทั้งไทยก็มีแรงงานพม่าอยู่มากมายถึง 3-4 ล้านคน ส่วนมาเลเซียก็มีแรงงานอินโดนีเซียหลายล้านคนเช่นกัน
ทั้ง 2 ประเทศต่างยังต้องการแรงงานต่างด้าว
เป็นส่วนที่จำเป็นยิ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจให้เป็นตลาดที่มีความเสรี(การกีดกัน
สร้างกฎเกณฑ์ มักมีนัยของการหาประโยชน์โดยมิชอบ
เป็นเรื่องกึ่งค้ามนุษย์และการทุจริตคอรัปชั่น) ฉะนั้น ไทยและมาเลเซียควรพิจารณาให้โรฮิงญาเป็นส่วนหนึ่งของแรงงานต่างด้าวที่ต้องการ
และนำเข้าสู่ระบบได้(2)
ที่มา
1.ประวัติของชาวโรฮิงญา http://www.tacdb-burmese.org/web/index.php?option=...
2. แนวทางการแก้ไขปัญหาโรฮิงญา http://www.naewna.com/politic/columnist/6795
1-2 ค้นหาเมื่อ วันที่ 16 พ.ค. 2557
ไม่มีความเห็น