ยามา อุรเคนทรางกูร
นางสาว ยามา อุรเคนทรางกูร อุรเคนทรางกูร

HR-LLB-TU-2556-TPC-กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย


                                            

                                                  กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย

                  ประเทศไทยได้ลงนามและให้สัตยาบันกับอนุสัญญาหลายอนุสัญญาด้วยกัน หนึ่งในนั้นคืออนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ อนุสัญญานี้มีขึ้นเพื่อยืนยันความเชื่อมั่นในสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในเกียรติศักดิ์ คุณค่าของมนุษย์ และในสิทธิอันเท่าเทียมกันของบุรุษและสตรี ไม่ให้ใช้เพศเป็นเครื่องมือในการเลือกปฏิบัติกับบุคคลนั้นๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเลือกปฏิบัติต่อสตรียังคงมีในประเทศไทยอยู่ ในที่นี้จะขอกล่าวถึง การห้ามผู้หญิงเข้าศาสนสถานในบางพื้นที่

                  ทำไมถึงห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าศาสนสถานนั้น ถ้าพิจารณาในเชิงพระพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่า พระภิกษุไม่สามารถถูกเนื้อต้องตัวสตรี เพราะทำให้อาบัติ หรือที่เรียกว่าผิดศีลของสงฆ์ ดังนั้นอุโบสถทางภาคเหนือหรือภาคอีสานหลายแห่งจึงขีดเส้นห้ามไว้เพื่อไม่ให้ผู้หญิงเข้าไป แต่กรณีของพระธาตุนั้นอธิบายได้ยากกว่า เพราะดูเหมือนว่าองค์พระบรมสารีริกธาตุนั้นน่าจะถูกบรรจุไว้ในองค์เรือนพระธาตุซึ่งอยู่สูง ซึ่งไม่มีความจำเป็นที่จะห้ามไม่ให้ผู้หญิงเดินทักษิณาวรรตใกล้ๆองค์พระธาตุ แต่จากตำนานพระเจ้าเลียบโลกระบุไว้หลายฉบับว่า พระบรมสารีริกธาตุในภาคเหนือองค์สำคัญๆ เช่น พระธาตุหริภุญไชย พระธาตุลำปางหลวง พระธาตุดอยตุง ส่วนใหญ่จะฝังไว้ใต้พื้นดิน มิได้อัญเชิญขึ้นสู่องค์เรือนพระธาตุตามลักษณะภายนอกที่มาห่มคลุมทีหลัง ฉะนั้นจึงไม่ควรที่จะให้ใครมายืนใกล้ๆ กับฐานเจดีย์ อย่างไรก็ตามก็มีข้อโต้แย้งว่า แล้วทำไมต้องห้ามเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ซึ่งคงจะใช้หลักทางพุทธอธิบายเรื่องนี้ไม่ได้แน่นอน แต่ก็มีความเชื่อว่า ระดูของผู้หญิงนั้นสามารถทำลายมนต์หรือคาถาอาคมได้ ดังนั้น เรื่องการห้ามผู้หญิงเข้าศาสนสถานหรือพระธาตุ มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อและศาสนา โดยฝังรากลึกกลายเป็นจารีตประเพณีท้องถิ่น

                  การห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าศาสนสถาน เห็นได้ชัดว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อสตรี เพราะเหตุทางเพศ หากนำเรื่องการห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าศาสนสถานมาพิจารณาควบคู่กับอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบนั้น จะเห็นได้ว่ามีความขัดแย้งดังต่อไปนี้

          1.  การห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าศาสนสถานกับอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ                ข้อ 1 บัญญัติว่า "เพื่อความมุ่งประสงคข์องอนุสัญญานั้นคำว่า “เลือกปฏิบัติต่อสตรี” จะหมายถึง การแบ่งแยก การกีดกัน หรือการจำกัดใด ๆ เพราะเหตุแห่งเพศ ซึ่งมีผลหรือความมุ่งประสงค์ที่จะทำลายหรือทำใหเ้สื่อมเสียการยอมรับ การได้อุปโภค หรือใช้สิทธิโดยสตรี โดยไม่คำนึงถึงสถานภาพด้านการสมรส บนพ้ืนฐานของความเสมอภาคของบุรุษและสตรีของสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพ้ืนฐานในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมของพลเมืองหรือด้านอื่น ๆ

       เมื่อบุคคลที่มีเพศหญิง ไม่สามารถเข้าไปใช้สิทธิในการสักการะบูชาศาสนสถานหรือพระธาตุได้ ซึ่งสิทธิในการเข้าไปสักการะศาสนสถานนั้น เป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรม ที่บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าไปสักการะศาสนสถานตามความเชื่อของแต่ละบุคคลได้ ดังนั้น การห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าศาสนสถานเป็นการกระทำที่ขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ข้อ 1 ซึ่งเป็นการกีดกันไม่ให้เข้าถึงพื้นที่โดยเหตุแห่งเพศ

2. การห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าศาสนสถานกับอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ

ข้อ 2 บัญญัติว่า "รัฐภาคีท้ังหลายขอประณามการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ตกลงที่จะติดตามนโยบายเกี่ยวกับ

การขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีโดยวิธีที่เหมาะสมทุกประการและโดยไม่ชักช้า และเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายน้ั้น ตก

ลงที่จะ   (ฉ) ใช้มาตรการที่เหมาะสมทุกอย่าง รวมท้ั้งการออกกฎหมาย เพื่อเปลี่ยนแปลงหรือล้มเลิกกฎหมาย ข้อบังคับ ประเพณีและแนวปฏิบัติที่ยังมีอยู่ ซึ่งก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี"

           ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั้น ได้รับรองความเสมอภาคระหว่างหญิงชายไว้ และรัฐไทยได้ลงนามและให้สัตยาบันในอนุสัญญาแล้ว แต่ในความเป็นจริง ยังคงมีการเลือกปฏิบัติต่อสตรีอยู่ จะเห็นได้ว่า รัฐไม่ได้ใช้มาตรการเพื่อเปลี่ยนแปลงประเพณีหรือแนวปฏิบัติที่ปฏิบัติต่อผู้หญิงต่างกับผู้ชาย. ดังนั้น การห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าศาสนสถานเป็นการกระทำที่ขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ข้อ 2 เนื่องจากรัฐยังไม่ได้ใช้มาตรการใดๆแก้ปัญหาการเลือกปฏิบัติได้

3. การห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าศาสนสถานกับอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ

ข้อ 13 บัญญัติว่า "รัฐภาคีจะใช้มาตรการที่เหมาะสมทุกอย่าง เพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในด้านอื่น ๆ ของการเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อที่จะให้ได้สิทธิอย่างเดียวกันบนพ้ืนฐานของความเสมอภาคระหว่างบุรุษและสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

(ค) สิทธิที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมนันทนาการ การกีฬา และเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับด้านวัฒนธรรมทุกอย่าง"

              ประเทศไทย มีรัฐธรรมนูญที่รับรองความเสมอภาคของหญิงชาย และเป็นภาคีสมาชิกของอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ จึงควรจะใช้มาตรการที่เหมาะสมที่จะไม่ให้มีการห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าศาสนสถาน ซึ่งเป็นสิทธิในทางวัฒนธรรมที่บุคคลทุกคนควรมี แต่ในทางปฏิบัติ ประเทศไทยไม่ได้ใช้มาตรการใดๆในการจัดการการเลือกปฏิบัติในเรื่องนี้ ดังนั้น การห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าศาสนสถานเป็นการกระทำที่ขัดต่ออนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ ข้อ 13 ซึ่งเป็นการริดรอนสิทธิในทางวัฒนธรรมของสตรี

            เห็นได้ว่า การห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าศาสนสถานนั้น เป็นการกระทำที่ขัดกับ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะสิทธิในการเข้าถึงทางวัฒนธรรม ที่ยังคงยึดมั่นกับแนวคิดหรือความเชื่อแบบเดิมๆ ผู้หญิงควรมีสิทธิเสรีภาพเท่ากันกับผู้ชาย. รัฐควรจัดให้มีรณรงค์ ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องความเสมอภาคของชายหญิง หรือ ใช้วิธีการทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเสนอร่างกฎหมายหรือเสนอคดีให้ศาลตีความ ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด ที่จะทำให้การเลือกปฏิบัตินี้หมดไป

                                           

หมายเลขบันทึก: 568002เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2014 11:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 พฤษภาคม 2014 10:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท